ไม่เพียงแต่คสช.และรัฐบาลจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนายกรัฐมนตรียืนยันเรื่องรายชื่อการปรับครม.ว่า
“ทูลเกล้าฯไปแล้ว”
หากแต่ “ข้าราชการ” และ “ชาวบ้าน” โดยทั่วไปก็รู้สึก”โล่งอก”ไปด้วย
การปรับครม.ครั้งนี้น่าจะเป็น “บทเรียน”
ถามว่าทำไมจึงเกิด “บรรยากาศ”แห่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักเกือบตลอดเดือนพฤศจิกายน กระทั่ง “นายกรัฐมนตรี”ก็หงุดหงิด
ถึงกับออกมา”ปราม”
คำตอบมีคำตอบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ใช้เวลาในการดำเนินการ “นาน”เกินไป
ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจาก “การเลือกตั้ง” ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจาก”การรัฐประหาร” การปรับครม.มีความจำเป็น
แต่ที่ผ่านมา,ก็มิได้ใช้เวลา “นาน”
การใช้เวลา “นาน” ทำให้เกิดความสงสัย คลางแคลงใจ สะท้อนให้เกิดความโน้มเอียงว่าอาจจะมี”ปัญหา”
1 มีความไม่ลงตัว “ภายใน”
1 มีความยากลำบากอย่างเป็นพิเศษในการคัดสรรคนดีเข้ามาร่วมงาน
ความไม่ลงตัวเข้าลักษณะ “รักพี่ เสียดายน้อง”
ความไม่ลงตัวเข้าลักษณะเกรงว่าจะไม่เป็นไปในแบบ”บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น”
ที่สุดแทนที่การปรับจะเป็นการแก้ปัญหากลับสร้างปัญหา
โดยพื้นฐานแล้วกระบวนการปรับครม.จักต้องดำเนินไปตามหลักทางการทหารที่ว่า “รบเร็ว จบเร็ว”
ไม่สมควรใช้กระบวนการ”ยืดเยื้อ”
กรณีปรับครม.ครั้งนี้หากนับจากเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ต้องถือว่าใช้เวลาเกือบ 1 เดือน
ผลเสียก็คือ ข้าราชการไม่เป็นอันทำงาน
ผลเสียก็คือ แม้กระทั่ง”รัฐมนตรี”เองก็ไม่รู้หัว ไม่รู้ก้อย ทำอะไรไม่ถูก กระทั่ง บางคนอาจเสียเวลาไปกับการต้องรับดอกไม้
“บทเรียน”เหล่านี้จะสะท้อนออกหลัง”รายชื่อ”ออกมา