เก้าอี้ผบ.ตร.และแพะ โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา (แฟ้มภาพ)

มี 2 ปรากฏการณ์เกี่ยวกับแวดวงตำรวจที่มาเกิดใกล้เคียงกันพอดี เรื่องแรก หลังเกิดขบวนการสร้างข่าวลือดัน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา จาก ผบ.ตร.ขึ้นไปเป็นรัฐมนตรี ในช่วงจัดโผ ครม.ประยุทธ์ 5

แต่ลงเอยจบข่าวลือนี้อย่างสิ้นเชิง เมื่อคนจัดโผปรับ ครม.ออกมายืนยันว่า ไม่มีชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไปเป็นรัฐมนตรีแน่นอน

พูดย้ำด้วยว่า ในเมื่อทำงาน ผบ.ตร.ดีอยู่แล้ว จะเอามาทำไม

จบข่าวลือพร้อมกับการันตีเก้าอี้ ผบ.ตร.ว่าไม่มีปัญหา

Advertisement

เรื่องต่อมา คือ คดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ที่เป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ต้นปี เข้าพึ่งพิงกระทรวงยุติธรรม ว่าเป็นแพะในคดีขับรถชนคนตาย

ระดับรองปลัดของกระทรวงยุติธรรมก็เข้ามาโอบอุ้มดูแล เชื่อในพยานที่ฝ่ายครูจอมทรัพย์อ้าง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ เดินเรื่องขอให้ศาลพิจารณารื้อฟื้นคดี

ศาลจึงต้องเปิดให้สืบพยานใหม่ที่อ้างถึง เพื่อพิจารณาว่าสมควรจะรื้อฟื้นคดีหรือไม่

Advertisement

สุดท้ายศาลตัดสินว่า พยานหลักฐานที่ครูจอมทรัพย์อ้างเพื่อขอรื้อคดีนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ คำให้การของพยานมีพิรุธน่าสงสัย

เท่ากับสรุปว่า ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าครูจอมทรัพย์เป็นแพะ ถือว่าจบไปตามคำตัดสินเดิมของ 3 ศาล

เป็น 2 เรื่องที่มาสรุปในช่วงใกล้เคียงกัน ซึ่งมีผลส่งเสริมกัน

คือ จบข่าวลือ ด้วยหัวหน้า คสช.รับรองว่าเก้าอี้ ผบ.ตร.เหนียวแน่นแน่นอน

กับจบข่าวแพะ โดยที่กล่าวอ้างว่าตำรวจจับแพะนั้น ไม่มีน้ำหนัก พยานเต็มไปด้วยพิรุธ

บทสรุปเช่นนี้ เท่ากับความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพของตำรวจในงานสืบสวนสอบสวน ได้กลับคืนมาในสายตาประชาชน

ดูเหมือนท่าทีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในคดีครูจอมทรัพย์ ชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถ้าผลตรวจสอบการทำสำนวนของตำรวจไม่บกพร่อง ต้องมีการดำเนินคดีฐานแจ้งความเท็จ

อีกทั้งระหว่างนั้น ทีมสืบสวนของตำรวจได้ขุดคุ้ยเบื้องหลังขบวนการรับจ้างติดคุกที่เข้ามาพัวพัน

รวมทั้งพบหลักฐานชัดเจนว่า นายสับ วาปี ที่อ้างว่าเป็นพยานใหม่ ออกมารับว่าขับรถชนคนตายเอง ขอรับผิดแทนครูจอมทรัพย์นั้น

ขึ้นไปแจ้งกับตำรวจบนโรงพัก 2 หน ให้การไม่ตรงกัน ทีแรกไปเป็นพยานให้อีกคนที่รับว่าขับชนเอง พอหนหลังไปรับว่าตัวเองเป็นคนขับรถชน

ตำรวจแกะรอยพยานเอกของครูจอมทรัพย์ จนได้พิรุธมากมาย

สุดท้ายกระทรวงยุติธรรมต้องรีบตัดพยานปากนี้ออกไป เลยยิ่งไปกันใหญ่

ผลของคดีนี้ จึงเท่ากับรับรองการทำงานของตำรวจ ว่าไม่ได้มั่วซั่ว แถมพิสูจน์ฝีมืองานสืบสวนสอบสวนหาความจริง ว่าเชี่ยวชำนาญของแท้

แน่นอนว่า องค์กรตำรวจนั้นควรแตะต้องได้ ชาวบ้านสงสัยในความไม่เป็นธรรม ต้องร้องเรียนและมีหน่วยงานอื่นมาตรวจสอบได้ เพียงแต่การร้องเรียนต้องไม่เต็มไปด้วยพิรุธและมีผลประโยชน์แอบแฝง

แถมยุคนี้อยู่ในห้วงที่พวกคลั่งปฏิรูป จะตัดแยกงานสอบสวนออกไปจากตำรวจเสียให้ได้

เตรียมเงื้อมีดรอในคดีครูจอมทรัพย์ มั่นใจกันมากว่าตำรวจจะเละแน่ ได้โหมการผ่าตัดแยกงานสอบสวนแน่

แต่ลงเอยพับมีดเก็บกันแทบไม่ทัน

สถานการณ์ของตำรวจในเวลานี้ ทั้งจากเรื่องเก้าอี้ ผบ.ตร.และบทสรุปคดีดังที่ไม่ใช่การจับแพะ

ถือว่าน่าหนักใจแทนฝ่ายที่คิดจะใช้การปฏิรูปมาลดอำนาจตำรวจและสลายให้เล็กลง

………………

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image