ป้องกัน‘มะเร็ง’เริ่มที่ตัวเรา! : โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

สัตว์ทุกชนิดกลัวตาย เพราะคิดว่าความตายเป็นภัยร้ายแรงของชีวิต ผวาว่าความตายใครๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อให้เกิดความสิ้นหวังท้อแท้ว่า “ความตาย” ไม่อาจรักษาด้วยการเยียวยาใดๆ แต่ความจริงแล้วความตายนี้คือ “ทิพยโอสถชนิดเลิศ” ที่ธรรมชาติใช้รักษาโรคร้ายทุกชนิดของธาตุขันธ์ ความตายจึงมิใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะความตายเป็นทิพยโอสถของชีวิต

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณา “มรณสติ” เพื่อบรรเทาความเมาในชีวิต เมาในเวลา เมาในความประมาท ก็เพราะต้องการให้คนมีสติตื่นตัวให้รู้ว่า…ความตายอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น เรารู้วันเวลาเกิดได้ แต่เวลาตายเราไม่รู้ และไม่มีทางจะรู้ด้วยหากไม่เจริญมรณสติเป็นประจำ

การเจริญมรณสติคือนึกถึงความตายบ่อยๆ อย่างนี้จะสอนให้ใจกล้าเผชิญจริงได้ไม่ยาก ขณะที่เราเศร้าโศก ใครจะเสียใจกับการสูญเสียพลัดพรากจากไปของจิตดวงนี้ อาจมีจิตอีกหลายร้อยดวงในต่างมิติที่รอคอยสัมผัสรอยยิ้มของชีวิตน้อยๆ ในมิติใหม่ของเขา

“ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” เป็น 4 คำอมตวาจาที่อยู่ตามหน้า “ตาลปัตร” เวลาที่เราไปงานศพ จะพบเห็นพระอาจารย์ตั้งถือเวลาสวดพระอภิธรรมงานศพต่างๆ ตั้งแต่ขอทาน ยาจก วณิพก คนจน คนรวย เศรษฐีใหญ่โต แม้นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายสิบ นายร้อย นายพัน นายพล แม้นายกรัฐมนตรี ย่อมถือปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกัน การมา การไป เป็นกฎธรรมชาติ เป็นเพียงการเปลี่ยนขั้วของความรู้สึก

Advertisement

สุดแต่ว่าเราจะอยู่มิติใดของการเดินทางของชีวิตแต่ละคนแต่ละบุคคลไป

มนุษย์คุ้นเคยกับสภาวะของตน เคยชินกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเกินไปจึงไม่อาจเข้าใจสภาวะของธรรมชาตินี้ได้ เมื่อรับรู้ไม่ได้กับสื่อสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผลจะมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากที่เราเรียกว่า “ตาย” ซึ่งต้องการใจเป็นสื่อสัมผัส ย่อมเกิดการสะเทือนใจเป็นธรรมดา เปรียบเทียบง่ายๆ เรายังอาจรู้สึกหงุดหงิดเพียงเมื่อคลื่นโทรศัพท์รับไม่ได้ ขาดๆ หายๆ จะป่วยการกล่าวไปถึงการขาดหายที่ไม่มีวันหวนกลับคืน

คนทั่วไปที่ไม่เจ็บปวดอาจทนไม่ได้กับสภาวะต่างๆ ที่เคยมีความสนุกเพลิดเพลินกับสังขารร่างกาย แม้ในคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี บางครั้งใจก็เจ็บป่วย อยากสลัดให้พ้นจากอารมณ์ขุ่นมัวบางอย่างที่ทำให้ใจเจ็บระบม

สำหรับ “คนเจ็บไข้” หรือ “ผู้ป่วย” โดยเฉพาะการเป็น “โรคมะเร็ง” คือผู้ที่มีความบกพร่องของร่างกายที่เกิดจาก “เซลล์” ของร่างกาย หรือ “ยีน” ของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนมากเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ทราบสาเหตุการเกิด หรือมีบางส่วนเกิดจากพันธุกรรม แต่ก็มีบางส่วนหรือส่วนใหญ่ที่ทราบว่ามีต้นเหตุจาก “ปัจจัยเสี่ยง” ต่างๆ อันเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ชอบกิน ชอบเสพ ชอบสัมผัส โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเรียกสารก่อมะเร็ง Carcinogen จนเคยชิน จนนำไปสู่การละเลิกไม่ได้ อันเป็นสาเหตุทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยน ที่แปลงจากภาษาอังกฤษเรียกว่า Mutation ทำให้เซลล์ปกติๆ ดีอยู่กลายเป็นเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแล้วแต่อวัยวะใดก็ได้ เมื่อร่างกายทรุดโทรมเต็มที่ ประกอบด้วยความชราเต็มทน เจ็บปวดเหลือเกินจนไม่อาจทนอยู่ได้ เขาอาจจะพอใจสละร่างกายมากกว่าที่จะทนอยู่ แม้จะช่วยด้วยเครื่องทันสมัยมากเพียงใด เขาก็ยังคงรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตอยู่ดี เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็น “มะเร็ง” รักษาไม่หายขาด ต้องตายแน่ๆ หากไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ไม่ยอมรับที่เรียกว่า “มรณสติ” ยิ่งทรมานอย่างมหาศาล ทำให้เศร้าโศก เสียใจ บางรายรุนแรงอาจถึงฆ่าตัวตายก่อนโรคจะกำเริบ

ถ้าเปรียบเทียบร่างกายเหมือน “เรือ” การตายอาจจะเป็นเหมือนคนสละ “เรือ” ที่กำลังจะจมน้ำ แล้วรีบขึ้นฝั่งให้ปลอดภัย หรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราย่อมช่วยเหลือเอาชีวิตคนไว้ก่อนมากกว่าที่จะรักษาเครื่องยนต์กลไกที่ใช้ไม่ได้แล้ว

เช่นเดียวกัน “ผู้รักษาชีวิต” ย่อมเห็นว่า “ดวงจิต” สำคัญกว่า “ร่างกาย” ที่ใช้การไม่ได้แล้วจึงแยกออกจากกันไปก่อน แล้วรวมกันไปเสี้ยวแห่งมิติใหม่ภายหลัง ซึ่งเราสมมุติสภาวะนี้ว่า “เกิด”

เมื่อมนุษย์เราหมดความสามารถจะฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะทำหน้าที่ของตน ปรับสภาพแห่งความสมดุลเสียใหม่ และจงมั่นใจเถิดว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเลยกับการทำงานของธรรมชาติ ธรรมชาติจะรักษาความสมดุลของระบบทุกอย่างด้วยตัวมันเองอย่างวิเศษสุด เพราะ “ธรรมชาติ” คือชีวิตแท้ ทุกชีวิตจะอยู่ในความดูแลของธรรมชาติได้เท่าเทียมกัน เพราะ…“กฎเกณฑ์แห่งชีวิต คือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ”

เมื่อพิจารณาความจริงอีกขั้นหนึ่งจากสมมุติ “สัจจะ” คือ พิจารณาให้เห็นความจริงตามหลักธรรมชาติ มองทุกอย่างให้เป็นอนัตตา ปราศจากตัวตนที่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ตรัสแสดงในอนัตตลักขณสูตร เราก็จะเข้าใจได้ว่า ความตายไม่มี และไม่มีอะไรตาย สิ่งนี้เราเรียกว่า ตายเป็นเพียงการปรับตัวและเปลี่ยนสภาพของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับวิญญาณธาตุเท่านั้น ตามธรรมดาของร่างกายเป็นทุกข์และอยู่ได้ยาก ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เราเห็นกันทุกคน แต่มีน้อยที่ใส่ใจ

ขอให้พิจารณาตามเหมือนว่าจะยาก ที่จริงมันก็ไม่ง่ายไม่ยาก หากใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทโดยเฉพาะการตายก่อนวัยอันควรด้วย “โรคมะเร็ง” หากเรามีสติตลอดเวลา หากใฝ่หาความรู้ ความเข้าใจ ตระหนัก และพัฒนาปรับปรุง หลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ก็จะไม่มีการตายก่อนวัยอันควร

คำว่า “มะเร็ง” ผู้เขียนเชื่อว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศรู้และเข้าใจดี ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Cancer” หรือ CA ทุกคนกลัว รับรู้สึกได้ว่าเมื่อเป็นแล้วมันจะเจ็บปวด ทรมาน กัดกร่อนจิตใจเป็นทุกข์เหมือนตายทั้งเป็น

เป็นการตายผ่อนส่ง เป็นแล้วรอวันตายแต่อย่างเดียว

“มะเร็ง” ความจริงแล้วมันมี “สัญญาณอันตราย” เตือนใจให้เราได้รู้ก่อนจะสายไปจากภัยของมะเร็ง…โรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่มีมะเร็งบางตำแหน่งสามารถทราบสาเหตุนำ หรือสาเหตุส่วนซึ่งอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ทุกคนควรสำรวจร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอและควรพบแพทย์ตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือปรึกษาแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง

“6 สัญญาณ” อันตรายของโรคมะเร็งที่เราๆ ท่านๆ ควรพึงสังเกตตรวจตราเป็นประจำ หากมีอาการแสดงผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสงสัยให้รีบไปปรึกษาแพทย์ที่ท่านคุ้นเคย รู้ใจ พูดจากันแล้วเข้าใจง่ายโดยด่วน เพราะโรคมะเร็งนี้มีหลักอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเป็นน้อยๆ หรือเริ่มแรกๆ ก็จะรักษาหายได้ ถ้าเป็นมากๆ ลุกลามไปทั่วจะรักษาไม่หายขาด ตายแน่ๆ

1.ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปร : ได้แก่ อาการท้องผูกสลับกับท้องเดินเรื้อรัง อาจเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก” ปัสสาวะเรื้อรัง บางรายมีเลือดออก ปวดเบ่งเวลาถ่ายปัสสาวะ อาจจะเป็นมะเร็ง “ต่อมลูกหมาก”

2.แผลไม่รู้จักหาย : ได้แก่ เป็นแผลเรื้อรังในช่องปาก ที่หายเกิน 2 สัปดาห์ อาจจะเป็น “มะเร็งช่องปาก” แผลเรื้อรังบริเวณผิวหนัง อาจจะเป็น “มะเร็งผิวหนัง” แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร ปวดท้องหลังกินข้าว บางครั้งมีเลือดดำๆ ออกทางอุจจาระ อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร

3.ร่างกายมีก้อนตุ่ม : ได้แก่ มีก้อนที่เกิดบริเวณรักแร้ ขาหนีบ ลำคอเรื้อรัง อาจเป็น “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

4.กลุ้มใจเรื่องกินกลืนอาหาร : ได้แก่ กลืนอาหารไม่ลงหรือติดๆ ขัดๆ หรืออาเจียน อาจเป็น “มะเร็งหลอดคอ” หรือ “มะเร็งหลอดอาหาร” ท้องอืด ปวดท้องเรื้อรัง ผอมลง บางครั้งมีอาเจียนหลังกินอาหาร อาจเป็น “มะเร็งระบบทางเดินอาหาร” น้ำหนักลด เบื่ออาหารไม่ทราบสาเหตุ หรือซีดลง คลื่นไส้อาเจียน อาจเป็น “มะเร็งหลายชนิด”

5.ทวารทั้งหลายมีเลือดออก : ได้แก่ มีเลือดออกหรือตกขาวผิดปกติทางช่องคลอด อาจเป็น “มะเร็งปากมดลูก” ถ่ายเป็นเลือด อาจเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก” ปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็น “มะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ” เลือดกำเดาออกเรื่อยๆ อาจเป็น “มะเร็งหลังโพรงจมูก” เลือดออกทางหัวนม อาจเป็น “มะเร็งเต้านม”

6.ไฝ หูดที่เปลี่ยนไป : ได้แก่ ไฝหรือหูดที่โตขึ้นรวดเร็ว มีเลือดออก สีเปลี่ยนไป อาจเป็น “มะเร็งผิวหนัง”

มีคำถามว่า แล้วเราจะห่างไกลมะเร็งได้อย่างไร? ภาษาหมอก็จะบอกว่า คุณต้องสร้างระบบเฝ้าระวังตนเอง สังเกตตนเอง ดูสัญญาณอันตราย 6 อย่างที่กล่าวแล้ว แต่มีกุญแจสำคัญไขข้อข้องใจด้วยการสร้างพฤติกรรม 5 ประการคือ “5 ทำ 5 ไม่” ห่างไกลมะเร็งดังนี้

1.ไม่สูบบุหรี่ : บุหรี่ : เป็นสาเหตุของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต และมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคอื่นๆ ด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง

ควันบุหรี่ : มีสารน้ำมันทาร์และสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด ในจำนวนนี้ 60 ชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen)

80% ของมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่มากกว่า 10,000 รายต่อปี ถ้าไม่สูบบุหรี่จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดได้ 8,000 รายต่อปี

ข้อแนะนำ – งดสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ – หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่น

2.ไม่มีเซ็กซ์มั่ว : สตรีมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน พบว่ามีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะมีความเสี่ยงกับการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma virus) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด “มะเร็งปากมดลูก”

ข้อแนะนำ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยอันควร (20 ปี) หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้ถุงยางอนามัย

3.ไม่มัวเมาสุรา : คนที่ดื่มสุราจะมีความเสี่ยงกับมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร ผู้ที่ดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของเอทิลแอลกอฮอล์ต่อวัน (3 แก้วจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 9 เท่าของผู้ที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าดื่มสุรามากกว่า 60 กรัม ของเอทิลแอลกอฮอล์ และเป็นผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเป็น 50 เท่า

ข้อแนะนำ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเบียร์ ไวน์ สุรา : ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน ผู้หญิงไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวัน

4.ไม่ตากแดดจ้า : แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นปัจจัยต่อการเกิด…“มะเร็งผิวหนัง” ทำให้เกิดรอยผิวเหี่ยวย่น ผิวหนังเปลี่ยนแปลง นอกจากมะเร็งผิวหนังแล้วยังทำให้เกิด “ต้อกระจก” ด้วย การตากแดดในปริมาณน้อยมีความจำเป็นต่อการผลิตวิตามิน D แต่ถ้ามากเกินไปจะเป็นอันตราย

5.ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ : การกินปลาน้ำจืดดิบที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับอยู่ในเนื้อปลาที่มีเกล็ด ตระกูลปลาตะเพียน ปลาชัง ปลาสร้อย ปลาขาว ปลาแม่สะเด้ง โดยกินดิบๆ หรือปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ เช่น ก้อยปลา ลาบปลา พยาธิตัวอ่อนจะเข้าไปเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ใน…“ท่อน้ำดีตับ” ทำให้มะเร็งท่อน้ำดีในตับพบมากในภาคอีสาน

ข้อแนะนำ : หลีกเลี่ยงกินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดตระกูลปลาตะเพียนดิบๆ กินปลาสุกๆ ไว้เสมอ ตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิทุกปี

ท้ายสุดนี้ผู้เขียนเองและเพื่อนๆ มนุษย์ทุกชีวิตที่เกิดมาเป็นคนด้วยกันคงเห็นพ้องกันว่า “โชคดีที่มีตาย โชคร้ายที่มีเกิด” เกิดกับตายเป็นของคู่กัน ทุกคนกลัวตาย แต่ไม่กลัวเกิด เมื่อเราชอบการเกิด รักการเกิด ต้องยอมรับความจริงว่า “การตาย” เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด หนีไม่พ้น เกิดแล้วไม่ตายไม่มี แต่มี “การตายที่ไม่ตาย” ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนมนุษย์ชอบการเกิดแต่รังเกียจการตาย หรือกลัวตาย หรือที่เหลียวดูแล “เรือ” ที่เราอาศัยมาด้วยการเฝ้าระวัง หมั่นสังเกตดู ตรวจดู “6 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง” ขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติตัวดูแลบำรุงรักษาตัวเองด้วย “5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลโรคมะเร็ง” ตามที่บอกกล่าวข้างต้น ป้องกันโรคมะเร็งเริ่มที่ตัวเรา ด้วยการรณรงค์ “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” นะครับ

จะได้อายุยืน หรือ “เรือ” ไม่ล่มก่อนถึงฝั่งไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image