การปรับครม.”ประยุทธ์ 5″ แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ จะยังไม่”หลุด” ตามกระแส
แต่ก็สะท้อนให้เห็นกระบวนการ”ถอย”
สถานะของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังแข็งแกร่งและมั่น คง ไม่แปรเปลี่ยน
แต่สถานะ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ แปรเปลี่ยน
แปรเปลี่ยนเหมือนเส้นทางของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
แปรเปลี่ยนเหมือนเส้นทางของ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย
ยกขึ้นตำแหน่ง”สูง” รอวัน “จร”
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งในกระทรวง”เศรษฐกิจ”เปิดทางให้กับ”มืออาชีพ”มากยิ่งขึ้น
สะท้อน บทบาท”ประชารัฐ”สูงเด่น
ต้องยอมรับว่า แนวทาง”ประชารัฐ” คือ แนวทางที่คณะรัฐประหารจะนำมาต่อกรกับ “ประชานิยม”
ชี้ชัดว่า ทีม ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อยู่ในฐานะ”นำ”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เข้าไปกุมงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และแต่งตั้ง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เข้ามาแทนที่
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ขึ้นชั้นที่”พาณิชย์”
ขณะเดียวกัน ได้อดีตปลัดกระทรวง นายสมชาย หาญหิรัญ เข้ามาเสริมที่กระทรวงอุตสาหกรรม
ได้นักวิชาการหัวใหม่ ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ จากสถาบันปิโตรเลียม เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แทนคนเดิมที่เป็นทหาร
ทั้งหมดคือ รูปธรรมการถอยของ”คสช.” และการใช้”ประชารัฐ” เป็นอาวุธในการรุก
รุกไล่ไปยัง “ประชานิยม”
ทิศทางของการปรับครม.ด้านหลักยังดำรงจุดมุ่งหมายของรัฐประ หารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่แปรเปลี่ยน
การชู ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คือ กลยุทธ์สำคัญ
นั่นก็คือ กลยุทธ์”ยืมหอกสนองคืน” ของม่อย้งแห่งแคว้นกังหนำ
สนองคืนไปยัง”ประชานิยม”ของ”ไทยรักไทย”
เป้าหมายยังเพื่อมิให้รัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ต้องเสียของเหมือนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
