นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่าองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนฟิล์มกระจก 35,427 รายการ และภาพต้นฉบับ 50,000 ภาพ เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก ประจำปี 2560 อย่างเป็นทางการในเว็บไซต์ unesco.org ซึ่งฟิล์มกระจก และภาพต้นฉบับดังกล่าว ได้ส่งมอบ และเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร มาอย่างยาวนาน การประกาศขึ้นทะเบียนฟิล์มกระจก และภาพต้นฉบับนั้น เสนอโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก ประเทศไทย และได้รับการบรรจุในทะเบียนเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกในปี 2560
นายวีระกล่าวอีกว่า ภาพฟิล์มกระจก 35,427 รายการ และภาพต้นฉบับ 50,000 รายการ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งรวบรวมจากฟิล์มกระจกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงถ่ายไว้ เอกสารดังกล่าวสะท้อนถึงหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ทางด้านสังคม วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางเมือง และความสัมพันธ์ด้านต่างประเทศของสยาม แสดงถึงบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ที่มีความสำคัญระดับประเทศ และนานาชาติ ในยุคที่อาณานิคมตะวันตกแพร่ขยายมายังเอเชีย ทำให้สยามเลือกที่จะรักษาเอกลักษณ์ของชาติ และปฏิรูปประเทศในทุกด้าน นำไปสู่ยุคของการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยหอจดหมายเหตุฯ ได้เก็บรักษาเอกสารดังกล่าวมาตั้งแต่ พ.ศ.2520 ปัจจุบันนี้ได้สแกนจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลไฟล์ เพื่ออนุรักษ์ต้นฉบับ และให้บริการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายวีระกล่าวอีกว่า ในปี 2017 ประเทศเพื่อนบ้านที่ได้ขึ้นทะเบียนหลายราย อาทิ 1.จารึกบนกระดูกที่ใช้เสี่ยงทายของจีนโบราณ 2.หอจดหมายเหตุหลักฐานการอนุรักษ์มรดกโลกโบโรพุทโธ อินโดนีเซีย 3.จารึกบนระฆังของพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า 4.ฟิล์มกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บันทึกภาพอ่าวท่าเรือซิดนีย์ 5.เอกสารเรื่องปันหยีของชวาที่ได้ส่งอิทธิพลต่อวรรณคดีในหลายประเทศ 6.เอกสารเกี่ยวกับชนดั้งเดิมในหลายประเทศที่เสนอต่อสหประชาชาติเก็บรักษาไว้ที่สวิสเซอร์แลนด์ 7. เอกสารจดหมายเหตุที่เขียนด้วยลายมือเกี่ยวกับเชคสเปียร์เสนอโดยอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
นายวีระกล่าวต่อว่า สำหรับการประกาศขึ้นทะเบียนฟิล์มกระจก และภาพต้นฉบับของไทยครั้งนี้ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์รายการที่ 5 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก โดยก่อนหน้านี้ไทยขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกมาแล้ว 4 รายการ ได้แก่
1.ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2546 เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญ ที่บันทึก และประกาศข้อมูลข่าวสารสาธารณะ และนโยบายของรัฐโบราณให้สาธารณชนรับทราบ และมีผลต่อประวัติของโลกนอกพรมแดนวัฒนธรรมของไทย ทำให้เข้าใจความสำคัญของการปกครอง การค้าขาย การติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาติต่างๆ ในช่วงเวลาของยุคสุโขทัย มีความสมบูรณ์ในตัวเอง นับเป็นเอกสารสาธารณะที่หาได้ยากยิ่ง
2.เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของรัชกาลที่ 5 ขึ้นทะเบียนปี 2552 เป็นเอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสยาม รวมพระอัจริยภาพทุกด้านที่ทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงส่งเสริมให้สยามอยู่ได้ อย่างสงบประกอบด้วยเอกสารการเลิกทาส และเอกสารอื่นที่แสดงให้เห็นถึงนโยบาย และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมให้กรุงสยาม ดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่ทำให้ประเทศสามารถอยู่ในความสงบได้อย่างดี โดยเป็นเอกสารต้นฉบับทั้งหมด 8 แสนหน้า ปัจจุบันจัดเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
3.จารึกวัดโพธิ์ ประกาศขึ้นทะเบียนในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อปี 2551 และขึ้นทะเบียนในระดับโลกใน ปี 2554 “วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร” ซึ่งจารึกวัดโพธิ์เป็นองค์ความรู้จากปราชญ์ของไทย และสรรพศิลปวิทยาการต่างๆ เช่น ตำราการแพทย์ โบราณคดี และวรรณกรรม โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนทั้งหลาย ฯลฯ มาจารึกลงบนแผ่นหินอ่อน ประดับไว้ตามบริเวณผนัง-เสาพระระเบียงรอบพระอุโบสถ พระวิหาร พระวิหารคด และศาลารายรอบพระมณฑปภายในวัดและแม้ว่าเวลาผ่านไปกว่า 178 ปี วัดโพธิ์ยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้สรรพวิทยา เห็นได้จากความรู้เกี่ยวกับโยคะศาสตร์และตำราการนวดแผนโบราณวัดโพธิ์ เป็นที่รู้จักแพร่หลายออกไปทั่วโลกในปัจจุบัน
และ 4.บันทึกการประชุมของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อปี พ.ศ.2556 เป็นเอกสารที่มีอายุกว่า 100 ปี ส่วนหนึ่งของบันทึกการประชุมของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีทั้งหมด 16 เล่ม บันทึกไว้ช่วงระหว่างปี 2447-2547 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเอกสารเหล่านี้ เป็นการรวบรวมบันทึกความคิด ความอ่าน หรือการระดมสมองของ สมาชิกสยามสมาคมที่มาจากหลายสาขาอาชีพ มีทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการระดับสูง ที่ปรึกษาชาวต่างชาติ สะท้อนภาพและมุมมองของสังคมในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิจัย และอ้างอิง