“นรกแช่แข็ง” ใน Wind River กับ “โลกหลังความตายเปี่ยมสีสัน” ใน Coco

"นรกแช่แข็ง" ใน Wind River กับ "โลกหลังความตายเปี่ยมสีสัน" ใน Coco

“นรกแช่แข็ง” ใน Wind River กับ “โลกหลังความตายเปี่ยมสีสัน” ใน Coco

Wind River

ฮอว์คอาย (เจเรมี เรนเนอร์) และ สการ์เลต วิทช์ (อลิซาเบธ โอลเซน) สองซุปเปอร์ฮีโรจาก The Avengers โคจรมาพบกันในหนังสืบสวนค้นหาฆาตกร ในดินแดนที่ถูกขนานนามว่า “นรกแช่แข็ง” Wind River ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ชนเผ่าพื้นเมือง (อินเดียนแดง) ในรัฐไวโอมิง ที่ซึ่งอากาศหนาวเหน็บ หิมะตกขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตา

ดินแดนแห่งนี้ชนเผ่าอินเดียนตกเป็นผู้ถูกกระทำ และหากมีการฆาตกรรม “Most murders are never solved, most criminals are never found.”

เรนเนอร์ รับบท คอรี เจ้าหน้าที่กรมสัตว์ป่า ที่มีหน้าที่ล่าสัตว์ที่ออกมารบกวนและทำอันตรายสัตว์เลี้ยงและคนในชุมชน เขาพบศพหญิงสาวชาวอินเดียนแดง ที่วิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างมานอนแข็งตายในสภาพเท้าเปลือยเปล่าอยู่กลางป่า เมื่อแจ้งทางการ เอฟบีไอส่ง เจน (อลิซาเบธ โอลเซน) เจ้าหน้าที่สาวมือใหม่อ่อนประสบการณ์มาสืบสวนคดี

Advertisement

ปมอดีตจากการตายอย่างมีเงื่อนงำของบุตรสาว และไม่สามารถจับคนร้ายได้ ทำให้คอรี่ยอมร่วมมือกับเจน ในการสืบสวนแกะรอยคดีนี้ โดยอาศัยประสบการณ์ความชำนาญของการเป็นพรานป่า ทั้งสองคนเผชิญกับความอยุติธรรม และการเหยียดชาติพันธุ์ ที่ส่งผลให้การจัดการกับคนผิดในท้ายเรื่องเป็นไปอย่างสะใจคนดู

Wind River เป็นผลงานการกำกับและเขียนบทภาพยนตร์ของเทย์เลอร์ เชอริแดน มือเขียนบทที่ชำนาญการเขียนเรื่องเกี่ยวกับดินแดนที่ห่างไกลความศิวิไลซ์ เช่น Sicario เล่าถึงความดิบเถื่อนของขบวนการค้ายาเสพติดชายขอบเม็กซิโก Hell or High Wate พูดถึงพี่น้องสองคนในเขตตะวันตกของเท็กซัส ที่ต้องเป็นโจรเพื่อรักษาที่ดินของตน

สำหรับ Wind River นี้ เชอริแดนเขียนบทโดยมีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง สะท้อนปัญหาระหว่างชนเผ่าอินเดียนแดง (เจ้าของถิ่นดั้งเดิม) กับคนผิวขาว (ผู้เข้าครอบครอง) ที่มีความขัดแย้งกันมาแต่อดีต

“คนในเผ่าของฉันถูกกดขี่ข่มเหง ติดอยู่ที่นี่มานานเป็นศตวรรษ หิมะและความเงียบ คือสิ่งที่พวกมันฉกฉวยจากเผ่าของฉันไปไม่ได้”

แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ และอาจไม่ได้อยู่ในกระแส แต่ทันทีที่ออกฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ หนังได้รับคำชื่นชมล้นหลาม และทำให้ เชอริแดน คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมสาย Un Certain Regard จากเทศกาลนี้

ในส่วนเจเรมี เรนเนอร์ บทเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะเป็นเลิศในการแกะรอย มุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อกลบอดีตขมขื่น อันเกิดจากการตายอย่างมีปริศนาของลูกสาว เป็นบทที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุด หลังจากที่เขาเคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Hurt Locker

ส่วนอลิซาเบธ โอลเซน บทเอฟบีไอสาวของเธอมีส่วนคล้ายบทของเอมิลี บลันต์ เอฟบีไอที่อยู่ผิดที่ผิดทาง และไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่ตนต้องเข้าไปสืบสวนในหนัง Sicario (ที่เชอริแดนเขียนบทเช่นกัน) แต่เรื่องนี้ การแสดงของเธอน่าจดจำกว่า และไม่ถูกกลบโดยฮีโร่คนอื่นๆ เหมือนตอนแสดงใน The Avengers การให้ผู้หญิงเป็นผู้ไปไขคดีฆาตกรรมผู้หญิง ก็มีส่วนทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจและคนดูร่วมกันเอาใจช่วย

Wind River เป็นหนังคุณภาพที่อาจจะไม่สนุก แต่เป็นหนังดีที่ควรค่าแก่การชม การสืบคดีไม่ซับซ้อน ไม่หักมุม แก่นของเรื่องแสดงถึงความยุติธรรมที่ถูกละเลย เพิกเฉยและไม่ใส่ใจชนเผ่าดั้งเดิมที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ดูแล้วเกิดอารมณ์สะเทือนใจ

ความที่สถานที่นี้เป็นเสมือน “นรกแช่แข็ง” ไม่มีผู้หญิง ไม่มีสิ่งให้ความบันเทิงเริงรมย์ จึงอำนวยให้ความอำมหิตในจิตใจมนุษย์ปะทุออกมาอย่างไม่มีขีดจำกัด

Coco

อยากจะฟันธงเลยว่า รางวัลออสการ์สาขาแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมปี 2018 จะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจาก Coco จากฝีมือผู้กำกับ ลี อุนคริช ที่เคยได้รางวัลออสการ์สาขานี้มาแล้ว จาก Toy Story 3 (2010) ซึ่งเรื่อง Coco นี้กำกับร่วมกับ เอเดรียน โมลินา

Coco เป็นผลงานแนวมิวสิคัลเรื่องแรกของ Pixar ซึ่งอุนคริชบอกว่า “หนังเรื่องนี้มีดนตรีอยู่ในดีเอ็นเอ การเดินทางเพื่อไล่ตามความฝันของตัวละครหลักเต็มไปด้วยเสียงดนตรี และเป็นดนตรีเม็กซิกันแบบดั้งเดิม”

นอกจากจะมีฉากหลังเป็นการแสดงดนตรีแล้ว ยังผสมผสานเรื่องของการผจญภัยในดินแดนแห่งความตาย โดยเอาวัฒนธรรมความเชื่อของคนเม็กซิกัน ที่มีเทศกาล Days of the Dead คือวันที่ประตูสวรรค์เปิดออก เพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เดินข้ามสะพานดอกไม้จากโลกแห่งความตายมาสู่โลกของคนเป็น

เทศกาลนี้เป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนาน ผู้คนจะมารวมตัวกันที่ถนนและจตุจักร แต่งแฟนซีเป็นโครงกระดูก เพ้นท์หน้าเพ้นท์ตาหรือใส่หน้ากากเป็นรูปหัวกะโหลกสีสันเจิดจ้า เป็นเทศการที่โด่งดังไปทั่วโลก

โลกหลังความตายในหนังเรื่องนี้ กลับเป็นดินแดนที่มีสีสันอันน่าทึ่งและงดงาม ไม่ทราบสังเกตกันหรือเปล่า สะพานดอกไม้ที่เชื่อมโลกคนตายและคนเป็น เป็นสะพานดอกดาวเรือง ดอกไม้ที่มีความหมายสำหรับคนไทยเช่นกัน ทีมผู้สร้างค้นคว้าข้อมูลและพบว่า ดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้สำคัญในดินแดนคนตาย ชาวเม็กซิกันเชื่อว่าสีสันและกลิ่นของดอกดาวเรือง จะช่วยนำวิญญาณของสมาชิกในครอบครัวกลับมาเยี่ยมบ้านในเทศกาลนี้

ในส่วนตัวละคร บางตัวเป็นโครงกระดูก แต่ดูตลกมากกว่าน่ากลัว มีเสน่ห์ไม่แพ้ตัวละครที่เป็นคนจริงๆ โครงกระดูกเหล่านี้ดำเนินชีวิตเหมือนคนบนพื้นโลก บ้างทำหน้าที่เหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตรวจตราการเดินทางเข้าออก บ้างเป็นศิลปิน หางเครื่อง นักร้อง นักดนตรี การแต่งกายก็จะเป็นสไตล์เหมือนสมัยยังมีชีวิต

สำหรับเด็กๆ เชื่อว่าหลายคนคงหลงรัก ดันเต้ สุนัขตัวตลกคู่ใจของมิเกล (เป็นสุนัขพันธุ์โซโล หรือ โซโลอิตช์คูอินทลี ซึ่งเป็นสุนัขประจำชาติเม็กซิโก) มีเอกลักษณ์ที่ไม่มีขน และฟันก็มักหายจนทำให้ลิ้นห้อยออกมานอกปากตลอดเวลา

สัตว์ในโลกแห่งวิญญาณ เช่น ลิง แมว ก็มีสีสันสดใสเหมือนสีนกแก้ว สวยงามมากกว่าจะน่ากลัว เสมือนจะบอกว่า “ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เป็นเพียงการย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเท่านั้น”

เหนืออื่นใดที่ทำให้หนังเรื่องนี้ซาบซึ้ง อบอุ่น และสุดแสนประทับใจ คือ เนื้อเรื่องพูดถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวทุกระดับ สายใยความผูกพันที่ไม่ใช่เฉพาะคนเป็น แต่มีทั้งระหว่างคนเป็นด้วยกัน และระหว่างคนเป็นกับคนตาย ปลูกฝังให้เกิดความรัก ความห่วงใยคนในครอบครัว

เป็นหนังที่ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เด็กๆ จะสนุกสนานกับสีสันสวยงามและการผจญภัยของตัวเอกในเรื่อง ส่วนผู้ใหญ่ ประเด็นครอบครัวที่เป็นแก่นหลักของหนัง จะสร้างความประทับใจและเป็นข้อฉุกคิดให้หันกลับมาใส่ใจคนในครอบครัวมากขึ้น

หนังเล่าเรื่องของมิเกล เด็กชายวัย 12 ขวบ ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรี เขามีไอดอลในดวงใจคือ เออร์เนสโต เดอ ลาครูซ นักดนตรีดังผู้ล่วงลับ แต่ครอบครัวของเขาเกลียดชังดนตรี ขนาดมีกฎเหล็กห้ามยุ่งเกี่ยวกับดนตรีทุกรูปแบบ ทั้งนี้เพราะบรรพบุรุษหญิงของตระกูลถูกสามีทิ้งไปเพราะดนตรี

มิเกลตามหาความฝันของเขาและหลุดไปในโลกแห่งความตาย ที่ซึ่งเขาได้พบบรรพบุรุษผู้ล่วงลับหลายคน แม้เขาจะได้รับพรที่ดีงามจากญาติเหล่านั้น แต่มิเกลยอมรับไม่ได้ เพราะเขายังคงถูกสั่งห้ามเล่นดนตรี มิเกลจึงพยายามหนีเพื่อไปพบเดอ ลา ครูซ โดยมีเฮกเตอร์ ผีไม่มีญาติเป็นผู้ช่วยเหลือ และมีข้อตกลงว่าถ้าเฮกเตอร์ทำสำเร็จ มิเกลจะต้องเอารูปเฮกเตอร์ตั้งบนโต๊ะหิ้งบูชา เพื่อให้เฮกเตอร์กลับไปเยี่ยมลูกสาวได้

หนังเรื่องนี้ตัวเอกชื่อมิเกล แต่หนังกลับชื่อ Coco ชื่อนี้สำคัญอย่างไร เป็นเรื่องที่คนดูน่าจะเข้าไปหาคำตอบด้วยตัวเอง

เป็นคำตอบที่ทำให้หลายคนน้ำตาร่วง และซาบซึ้งกับเพลงเอกของเรื่อง Remember Me เพลงแสนทรงพลังที่ถูกขับขานระหว่างเรื่องจากตัวละครหลายคน ที่ยิ่งฟังยิ่งไพเราะ ไม่ใช่เพลงที่สื่อความรักของหนุ่มสาว แต่แต่งขึ้นจากมุมมองของคนคนหนึ่งที่หวังว่า ตนเองจะเป็นที่จดจำของคนที่ตนรักในครอบครัว

Coco เป็นหนังที่ดูแล้วอบอุ่น ผสมผสานเรื่องครอบครัว การเดินทางตามความฝันที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี และการผจญภัยในโลกแห่งความตายที่สวยงามตระการตา ได้อย่างลงตัว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image