กลัวอย่างไรมักจะเจออย่างนั้น : คอลัมน์มหัศจรรย์การ์ตูน

นักศึกษาสาวคนหนึ่งมาพบจิตแพทย์เพราะกังวลเรื่องแฟนค่ะ เธอเล่าว่า เดิมเป็นคนขี้กังวลอยู่แล้ว เมื่อต้องย้ายมาเรียนในมหาวิทยาลัยไกลจากบ้านเกิด และอยู่หอพักเป็นครั้งแรกก็รู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง โชคดีที่แฟนเข้ามาช่วยดูแลทุกๆ เรื่อง จึงค่อยผ่อนคลายความกังวลไปมาก ครั้งแรกที่มาพบจิตแพทย์ก็ด้วยกังวลว่าแฟนอาจจะลาออกจากคณะเพราะมีปัญหาทางบ้าน หลังทราบเรื่องเธอก็ร้องไห้ทุกวัน เครียดไม่เป็นอันกินอันนอนเพราะกลัวว่าถ้าแฟนลาออกจริงๆ ก็คงต้องเลิกกัน มาพบครั้งต่อมาก็เลิกกับแฟนจริงๆ ค่ะ แต่ที่น่าแปลกใจคือเธอเป็นฝ่ายเลิกด้วยตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลัวการเลิกกันอย่างมาก

หนูไม่อยากเชื่อเลยค่ะ ก่อนหน้านั้นหนูกลัวการเลิกกัน คิดว่าถ้าไม่มีเขาหนูจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ หนูไม่มีเพื่อนเลย ทำอะไรก็ไม่เป็น แฟนทำให้ทุกอย่าง ตอนเขาลาออกใหม่ๆ หนูก็โทรหาเขาทุกวัน แต่พอคิดได้ว่ายังไงก็ต้องเลิกกันแน่ๆ และหนูก็ต้องหาเพื่อนใหม่ หนูก็ตัดใจไม่โทรหาเขาอีกเลย เขาก็ไม่โทรมาเลย เหมือนเลิกกันไปเองŽ

ดูเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่พยายามจะจบความกลัวและกังวลให้รวดเร็วที่สุด บางคนใช้วิธีหนีแต่บางคนก็ใช้วิธีเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวให้รู้เรื่องไปเลย ความขี้กังวลเองก็มีข้อดีแต่ถ้าเราเรียกคนขี้กังวลด้วยชื่อนี้เขาจะไม่ค่อยชอบนะคะ คนขี้กังวลมักบอกว่าตัวเองเป็นคน เตรียมพร้อมตลอดเวลาŽ ต่างหาก หมายถึงมีการคาดการณ์ล่วงหน้า (มักจะเป็นในทางร้าย) ไว้หลากหลายแล้วคิดหาวิธีป้องกันหรือแก้ไขไว้ล่วงหน้าเสียก่อน

ดังนั้น คนขี้กังวลจึงมักเห็นโลกในทางร้ายซึ่งหลายครั้งทำให้เป็นทุกข์หรือกลัวไปล่วงหน้า ในทางกลับกันถ้าไม่มีความกังวลเลยแม้จะมีสุขภาพจิตดีก็ต้องชั่งน้ำหนักกับการรับผลของการไม่เตรียมพร้อมล่วงหน้าไว้ด้วย ชีวิตที่ขาดการเตรียมพร้อมย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่า

Advertisement

HaguregunoŽ (เมฆาล่องลอย) เป็นชื่อแอนิเมชั่นและชื่อของพระเอกที่ใช้ชีวิตแบบไม่กังวลกับอะไรเลยสมชื่อเมฆที่ลอยไปลอยมาค่ะ แอนิเมชั่นเรื่องนี้สร้างขึ้นในปี 1982 (36 ปีก่อน) จากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันซึ่งอยู่ในลำดับที่ 10 ของหนังสือการ์ตูนที่มีจำนวนเล่มสูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยเริ่มเขียนในปี 1973 (45 ปีก่อน) ปัจจุบันคือเล่ม 111 และยังไม่จบ จึงขอกล่าวถึงแอนิเมชั่นที่ตัดเนื้อเรื่องมาทำให้จบในตอนค่ะ เรื่องเกิดขึ้นในช่วงปลายยุคเอโดะ ซึ่งชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายในญี่ปุ่นและเป็นช่วงสิ้นสุดยุคโชกุนและซามูไร มีการตั้งกลุ่มตำรวจพิเศษขึ้นเพื่อต่อต้านการเข้ามาของชาติตะวันตกและพยายามสังหารคนที่สนับสนุนการเปิดประเทศ ซึ่งได้แก่ ซากาโมโตะ เรียวมะŽ บุคคลในประวัติศาสตร์ที่ต้องการให้ญี่ปุ่นติดต่อกับโลกภายนอกและนำความเป็นตะวันตกเข้ามาพัฒนาประเทศ คุโมะŽ หรือเมฆาล่องลอย

พระเอกของเรื่องได้พบกับตำรวจหนุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ฆ่าซากาโมโตะซึ่งสนับสนุนการเปิดประเทศ หนุ่มน้อยพ่ายให้กับคุโมะซึ่งเป็นอดีตซามูไรฝีมือดี เขาขอฝากตัวเป็นศิษย์แต่สิ่งเดียวที่คุโมะสอนเขาคือ คำกล่าวว่า เธออายุยังน้อย ยังมีโอกาสเห็นโลกอีกมาก ลองเรียนรู้จากมันสิŽ ทำให้ตำรวจหนุ่มเลิกกลัวที่จะเปิดกะลาที่ครอบเขาไว้ออกมาและสามารถยิ้มให้โลกได้ โดยไม่กลัวการเข้ามาของต่างชาติเหมือนแต่ก่อน

จะเห็นว่าถ้ากลัวอะไรเราก็มักเดินไปตามทางที่ปูด้วยความกลัวนั้น ซากาโมโตะกลัวญี่ปุ่นล้าหลังจึงสนับสนุนการเปิดประเทศ ตำรวจหนุ่มกลัวญี่ปุ่นสิ้นชาติจึงพยายามฆ่าซากาโมโตะ แต่เมื่อตำรวจหนุ่มรู้แล้วว่าญี่ปุ่นไม่มีทางสิ้นชาติเพราะชาวตะวันตก เขาก็กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นฆาตกรเพียงเพราะเชื่อตามคนที่กลัวการ
สิ้นชาติอย่างไร้เหตุผล เขาจึงยอมละทิ้งหน้าที่ที่ต้องฆ่าคนไปในท้ายที่สุด

Advertisement

คำกล่าวว่า กลัวอย่างไรมักจะเจออย่างนั้นŽ มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วค่ะว่าจริงอย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องความสัมพันธ์ การศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Motivation and Emotion โดยให้อาสาสมัคร 104 คนที่กำลังมีความรักและความสัมพันธ์ไปได้สวยมารับทราบข้อมูลที่อาจโน้มน้าวให้บุคคลนั้นเข้าใจว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเลิกรากับแฟนในระดับใด ซึ่งข้อมูลโน้มน้าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงค่ะ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเครื่องมือวิจัย

ขั้นตอนต่อมาก็วัดระดับความรู้สึกรักแฟนหลังได้ทราบข้อมูลโน้มน้าวนั้น ผลพบว่ากลุ่มที่ได้รับข้อมูลโน้มน้าวว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามีโอกาสถึงจุดจบ น้อยถึงปานกลางŽ จะยิ่งรู้สึกรักแฟนมากขึ้นกว่าเดิม ในทางตรงข้าม หากได้รับข้อมูลโน้มน้าวว่าความสัมพันธ์มีความเสี่ยงที่จะถึงจุดจบ สูงŽ จะทำให้ความรู้สึกรักแฟนลดลงทันที เราคาดเดาต่อจากการวิจัยว่าหากรักกันน้อยลงก็ต้องไปลงเอยที่การเลิกรากันจริงๆ เป็นบทสรุปของการกลัวอย่างไรก็ต้องพบกับสิ่งที่กลัวในท้ายที่สุด

สำหรับคนที่ขี้กลัวหรือขี้กังวล การบอกให้ เลิกกลัวŽ ดูจะทำได้ยากมากแม้ว่าบุคคลนั้นเข้าใจเหตุผลว่าไม่ควรกลัวแล้วก็ตาม ในเมื่อแก้นิสัยนี้ไม่ได้ก็ลองใช้ความกลัวมาช่วยให้หายกลัวค่ะ ลองกลัวสิ่งที่ตรงข้ามกันดู เช่น รู้ว่าไม่ควรกลัวการเปิดประเทศแต่ก็เลิกกลัวไม่ได้ ก็ให้ลองคิดว่าถ้าไม่เปิดประเทศเราจะต้องล้าหลังชาวโลกซึ่งน่ากลัวกว่ากันมาก หรือรู้ว่าไม่ควรกลัวการเลิกรากันเพราะเวลานั้นยังไม่มาถึง ก็ให้ลองคิดว่าถ้ายังไม่เลิกรากันแต่กลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแบบนี้คงจะแย่ไปอีกนาน การกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกนานต่างหากที่น่ากลัวกว่าการตัดใจเลิกราให้รู้เรื่องไปเลย เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ขาเราจะเดินไปตามทางที่เรากลัวซึ่งแท้จริงก็คือทางที่เราเลือกไว้แล้วว่าควรเดินนั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image