เมื่อไม่กี่วันมานี้ นายแบงก์หลายท่านต่างชี้ว่า ในปีหน้า ผู้ประกอบการ SMEs แบบดั้งเดิมที่ไม่ปรับตัว อาการจะน่าเป็นห่วง ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการที่ปรับตัวเข้าสู่ช่องทางดิจิทัลแล้ว จะมีการฟื้นตัวรับภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงคือ มีขายแต่หน้าร้านหรือมีหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเพียงพื้นที่แสดงสินค้า แต่ยังต้องกลับมาซื้อที่หน้าร้านอยู่ กลุ่มนี้อาจไม่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวที่ส่งผลมาถึงกลุ่ม SMEs ในปีหน้า
ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ปรับตัวโดยใช้ช่องทางดิจิทัลแล้ว ทั้งมีการทำตลาดออนไลน์ การให้ลูกค้าซื้อขายสินค้าได้ทันทีผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงนำกระบวนการที่เป็นดิจิทัลมาใช้กับระบบการบริหารจัดการภายใน จะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจดีที่ส่งผลถึงฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ
ว่าไปแล้ว ในโลกยุคเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วนี้ เราต้องถือโอกาสใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข่งขันให้ทันการ ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะอยู่รอดปลอดภัยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและสร้างมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรมให้ได้
โดยเฉพาะกลุ่มผู้จัดหาบริการ (Service Provider) เช่น ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากไม่ได้แข่งขันกับผู้ประกอบการในประเทศด้วยกัน แต่ยังต้องแข่งกับผู้ประกอบการระดับโลกด้วย เป็นต้น
นายแบงก์หลายแห่งยังให้ข้อคิดอีกว่า “ถึงแม้ต้องแข่งกับผู้ประกอบการระดับโลก แต่เรายังมีที่ยืนได้ถ้าใช้เทคโนโลยีมารองรับ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยยังมีจุดแข็งเรื่องการติดต่อสื่อสารกับคนไทยด้วยกัน เพราะคนไทยมีพฤติกรรมบางอย่างที่คนไทยด้วยกันเองถึงจะเข้าใจ”
ทั้งหมดทั้งปวงที่อยากจะเน้นย้ำในวันนี้ ก็คือ SMEs จะต้องปรับตัวแล้วคือ ต้องติดตามเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ให้ทันและต้องพยายามปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการเข้าสู่ Digital Transformation ต้องวิเคราะห์และเลือกใช้ระบบ ออโตเมชั่นและเทคโนที่เหมาะสม เชื่อมต่อเครื่องจักร และการผลิตในโรงงานกับอินเตอร์เน็ตและระบบคลาวด์ รวมตลอดถึงการใช้ประโยชน์จาก “ระบบข้อมูลมหาศาล” (Big Data) และการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันแบบเรียลไทม์ด้วย
ความจริงในวันนี้ก็คือ สังคมยุคดิจิทัลทำให้ “พฤติกรรมของผู้บริโภค” เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันการ ครับผม !
