5 ข่าวฮิตแห่งวีก! ภาคต่อนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม กับสัญญาณใต้เมื่อชวนออกโรง และข้อแม้ของอียู

หลังจากรวบรวมข่าวฮอตประเด็นฮิตกันให้ทบทวนเรื่องราวดีๆ ในช่วงรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ก็ได้เวลาที่จะไปสำรวจข่าวเด่น ข่าวดังว่าอะไรที่คุณพลาดไม่ได้ในสัปดาห์นี้

มติชนออนไลน์พร้อมเสิร์ฟข่าวร้อนโดนพลัน

ฮิตที่ 1 สัญญานจากภาคใต้ เมื่อ “ชวน” ออกโรงเรื่อง “ปากท้อง” 

Advertisement

ข่าวอันเป็นควันหลงจาก “ปักษ์ใต้” ครม.สัญจร ปัตตานี – สงขลา ยังไม่ทันจาง

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงใต้ซ้ำตรวจน้ำท่วม เมืองหมูย่าง จังหวัดตรัง มิวายกลายเป็นควันหลงการเมืองซ้ำขึ้นมาอีก เพราะสนามบินเป็นต้นเหตุ ทำให้นายกฯบ่นอุบ เจอหน้าพี่น้องชาวตรังเลยประกาศผ่านเสียงตามสายว่า จะขอเล่นงานการท่าอากาศยาน ฐานปล่อยให้สนามบินรุงรังดูไม่ได้ แถมยังบอกต่อว่า ถ้ายังปล่อยให้รุงรังต่อไปแล้วใครจะมาเที่ยว จะหวังประสงค์แต้มให้รัฐบาลหรืออย่างไร มิทราบได้ แต่งานนี้กลับเจอนายหัวรุ่นใหญ่เจ้าของพื้นที่ “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกฯ ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกตัวสวนแรงๆที่ว่า

“ของบขยายสนามบินไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นายกฯมาประชุมที่ภูเก็ต เพราะเที่ยวบินมีมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่รับการตอบรับ..”

Advertisement

ไม่เพียงแค่เรื่องสนานบิน “นายหัวชวน” ยังได้ใช้โอกาสนี้เผยหนังสือที่เคยยื่นถึงนายกฯไปตั้งแต่เมื่อ 22 พฤศจิกายน ผ่าน “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ อดีตเลขาธิการครม.เมื่อครั้นที่นายหัวแกกุมอำนาจนั่งบัญชาการอยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้เรียกร้องให้ “แก้ปัญหารายได้ต่อครัวเรือน” โดยได้ยกข้อมูลจากผลสำรวจของสำนักสถิติแห่งชาติ ที่บอกชัดว่า รายได้ต่อครัวเรือนในภาคเหนือและภาคใต้ลดลง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดภาคใต้ โดยจังหวัดระนอง ลดลงจาก 32,292 บาท ในปี 2556 เหลือเพียง 22,035 บาทในปี 2558 จังหวัดตรัง รายได้ลดลง จาก 33,270 บาท ในปี 2556 เหลือเพียง 23,309 ในปี 2558 เท่ากับว่าทั้ง 2 จังหวัด ลดลง 1 ใน 3 และ จังหวัดยะลา ลดลงจาก 22,483 บาท เหลือเพียง 15,584 บาท

โดย นายหัวชวน วิเคราะห์สาเหตุว่า เป็นผลมาจากภาวะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ โดยจังหวัดตรัง เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกยางพารามากที่สุดหากคิดเฉลี่ยต่อพื้นที่ ทำให้รายได้ของประชาชนผูกอยู่ที่ยางพารา เมื่อยางพาราราคาตกต่ำต่อเนื่อง 3 ปี จึงส่งผลให้ชาวบ้านเกิดปัญหา การหยิบยกตัวเลขดังกล่าวก็เพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาปัญหาภาคใต้ และจังหวัดที่ประสบปัญหาจากนโยบายพิเศษที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป

แน่นอนว่า ผลของหนังสือดังกล่าว มีสื่อนำไปเสนอได้อย่าง “มีนัยยะ” และยังเป็นนัยยะระดับพาดหัวใหญ่หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า คนอย่าง นายชวน หลีกภัย ที่อยู่เงียบๆมาพักใหญ่ มีความสุขอยู่กับการเขียนรูป และมีข่าวเข้าออกโรงพยาบาล ออกมาพูด เรื่องปากเรื่องท้องของประชาชน ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองเรื่อง “โรดแมป” ที่กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง

จึงทำให้สังคมถึงกับต้องครุ่นคิดติดตามว่า เป็นความต้องการที่จะ “ส่งสัญญาณทางการเมือง” ไปในทิศทางไหน ??

 

ฮิตที่ 2 ปิดดิฉัน – คู่สร้างคู่สม นิตยสารระดับตำนานของไทย

ในยุคดิจิตอล ที่ทุกอย่างเปิดหาได้ในอินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการสื่อ ในปี 2017 ก็มีเหล่าสิ่งพิมพ์ที่ทยอยปิดตัวลงเพราะพฤติกรรมคนอ่านที่เปลี่ยนไปแบบสุดๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้

ต้นปีมานี้จึงได้เห็นเหล่านิตยสารทั้งหัวในและหัวนอก ทยอยบอกลาแผงกันไปไม่น้อย ทั้งสกุลไทย ครัว ไปจนถึงขวัญเรือน ที่แต่ละเล่มเป็นมิตรรักกับแฟนๆมายาวนานหลายทศวรรษ

และก็มาถึงคราวของนิตยสาร “ดิฉัน” ที่ลือกันให้แซดว่าจะออกฉบับสุดท้ายธันวาคมนี้ ทั้งๆที่เพิ่งสร้างความฮือฮาให้แวดวงด้วยการจับ “เวียร์” ศกลวัฒน์ กับ เบลล่า ราณี ที่เพิ่งเปิดตัวว่าเป็นคู่รักมาขึ้นปกด้วยกันเป็นครั้งแรก แม้ว่า ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้าของหนังสือจะเคยกล่าวไว้ว่าจะทำ “ดิฉัน” ไปจนตาย แถมเป็นการปิดตัวลงอย่างกระทันหันชนิดที่ว่าพนักงานเพิ่งจะทราบล่วงหน้าเพียงไม่กี่วัน ทำเอาสั่นคลอนแวดวงแม้ว่าจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าคงจะเกิดขึ้นได้ในสักวัน

ปิดฉาก 37 ปี นิตยสารดิฉันอย่างไม่ค่อยงดงามสักเท่าไหร่

ไม่ทันจะข้ามสัปดาห์ดี แวดวงหนังสือก็ต้องได้ข่าวไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไหร่อีก เมื่อมีข่าวเล็ดลอดจากแผงหนังสือว่านิตยสารยอดพิมพ์หลักแสนอย่าง “คู่สร้างคู่สม” ที่จะเคลมง่ายๆว่าอันดับหนึ่งในประเทศก็ว่าได้นั้น จะจัดส่งแผงฉบับ 20 ธันวาคมนี้เป็นฉบับสุดท้าย แถมรายการดังของนิตยสารทางทีวีดิจิตอลแห่งหนึ่ง ก็จะประกาศข่าวสำคัญในวันที่ 16 ธันวาคมนี้เอง

แฟนหนังสือก็ยิ่งใจห้ายยยใจหายเข้าไปอีก เรียกร้องให้เปิดเป็นออนไลน์แทน เพราะเสียดายคอนเทนต์ที่ตามติดมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงที่แฟนๆขนานนามว่าสุดยอดความแม่นแห่งวงการนิตยสาร

แต่เมื่อไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไป คนเรียกหาพาสเวิร์ดไวไฟในร้านทำผมมากกว่านิตยสารแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมีข่าวออกมาให้เห็นอีกไม่น้อย

 

ฮิตที่ 3 มหากาพย์นาฬิกาหรู บิ๊กป้อม episode 2

นำเสนอกันไปไม่น้อย กับข่าวของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ใส่แหวนเพชรเม็ดเป้ง และนาฬิกาเรือนหรู ริชาร์ด มิลล์ 7 หลักมาร่วมถ่ายภาพหมู่คณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 5 จน มนุษย์โซเชียล ไปขุดเจอว่าไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินไว้นี่นา พาให้เจ้าตัวต้องออกมาสัมภาษณ์บอกปัดดราม่าบอกจะไปชี้แจงเรื่องนี้เอง เป็นของเก่าแต่เดิมๆไม่ใช่ของใหม่อะร้ายยย แต่ก็ไม่วายมีคนออกมายื่นเรื่องป.ป.ช.ขอให้รีบตรวจสอบเรื่องนี้แบบด่วนๆ

แม้ว่าจะมีคนแซะว่า ป.ป.ช.ดูจะสนิทชิดเชื้อกับบิ๊กป้อมอยู่หน่อยๆ

แต่เมื่อเป็นประเด็นฮือฮาบนโลกโซเชียลขนาดนี้แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะให้เงียบหายภายในหนึ่งสัปดาห์ เหล่าคนไทยผู้ติดตามข่าวสารก็ยังคงติดตามแบบประชิดว่าจริงๆแล้ว นาฬิกาหนะที่มาจากไหนกัน คนสนิทก็ออกมาเม้าธ์ว่า นาฬิกาหนะของเพื่อนให้ยืม ส่วนเพชรวูบวาบๆนี่มรดกของมารดา ยังไม่ได้แบ่งด้วยซ้ำว่าพี่น้องคนไหนจะได้ไป เจ้าตัวก็ออกมารับลูก คอนเฟิร์มกันไปอีก แหมะ อ่านแล้วก็คิดถึงหนุ่มพกบัตรคนจนในโซเชียล ที่ก็ยืมๆของแพงเพื่อนมาถ่ายรูปเหมือนกัน

โดนโจมตีกันหนักหน่วงจนนายกฯเองต้องออกมาบอกว่า “ลดราวาศอก” กันหน่อยเถอะคู้นนนน

แต่ใช่ว่าเรื่องราวจะจบได้โดยง่าย เมื่อไทยอดทนอย่าง “ป้ามล” ทิชา ณ นคร ไม่ขอปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป ลุกขึ้นมาตั้งแคมเปญในเว็บไซต์ change ขอล่ารายชื่อ ปลดรมว.คนดัง หลังให้สัมภาษณ์ทั้งเรื่องน้องเมย เปิดไม่กี่วันมีคนเข้าไปลงชื่อนับพันราย แม้ว่าทิชาจะไม่ได้คิดว่าจะสามารถนำรมว.ลงจากตำแหน่งได้จริง และยอมรับว่าเรื่องนาฬิกามีผลอย่างแรงให้คนหันมาซัพพอร์ท แต่ก็ขออยากฉุกให้สังคมได้คิดดดดกันหน่อย

เรื่องเหมือนจะจบแต่ก็ยังจบไม่ได้ เมื่อเพจดังคนตาดีก็ไปขุดภาพเข้าให้อีกว่าบิ๊กป้อมหนะเคยใส่นาฬิกาเรือนหรูนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แถม แถม แถม ยังมีคนตาดีไปเห็นริชาร์ด มิลล์ อีกหนึ่งเรือนบนข้อมือท่านเสียอีก คนก็เลยแอบแซะกันนิดๆว่า อยากจะมีเพื่อนอย่างทั่นบ้าง เพราะดูจะใจดีมีให้ยืมกันได้หลายๆเรือน

ประจวบเหมาะกันพอดิบพอดีอย่างกับจับวาง เมื่ออดีตประธานสภาอินโดนีเซีย เซตยา โนวานโต ถูกตั้งข้อหารับสินบนมูลค่า 7.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 237 ล้านบาท จากโครงการบัตรประชาชนอิเล็คทรอนิคเมื่อปี 2552 ซึ่งนอกจากจะรับเงินแล้วยังได้รับนาฬิกาหรู ริชาร์ด มิลล์ มูลค่า 4.3 ล้านบาทมาอีกด้วย

อย่างไรเรื่องนี้ ผู้นำเข้านาฬิกาเรือนดังก็คงต้องทำจดหมายขอบคุณไปให้ท่านเสียหน่อย ก็จากที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักถ้าไม่ใช่คนในแวดวงและเงินถึงคว้าได้แล้ว วันนี้นาฬิกาก็ติดเทรนด์ไทยแลนด์เป็นที่เรียบร้อย

 

ฮิตที่ 4 อียู ฟื้นความสัมพันธ์ พร้อมข้อแม้ 14 ข้อ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 หลังเกิดการ รัฐประหาร ในประเทศไทย โดยคสช. เกิดเป็นรัฐบาลบิ๊กตู่ ทำให้ภาพของประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ไม่ค่อยจะชัดอยู่แล้ว เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ประชาคมโลกที่ถือธงประชาธิปไตย เป็นประชาคมโลกที่อดทนไม่ได้ ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปหรืออียู ลุกขึ้นมาประกาศแบนประเทศไทยในด้านต่างๆ จนกว่าจะกลับมาปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่แท้ทรู

ติดสิทธิทางการค้ากับไทยหลายอย่างโดยเฉพาะเอฟทีเอ

กว่าสามปีที่ผ่านมา เมื่ออียู ออกมาประกาศมติของสหภาพยุโรปว่าจะฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศไทย ครั้งนี้จึงถือเป็นข่าวใหญ่ น่ายินดี แม้ว่าภาพความเป็นจริงการแบนของอียูจะไม่ได้ส่งผลกระทบชนิดว่าประชาชนคนเดินดินรู้สึกได้แบบเห็นผลทันที

ออกมาประกาศเช่นนี้ รัฐบาลก็รีบออกมาแสดงความยินดีกับมติดังกล่าวทันที กระทรวงต่างประเทศก็ออกมาขานรับว่าไทยเองก็มีความคืบหน้าในช่วงสามปีครึ่งที่ผ่านมา

แต่เดี๋ยวก่อน…..

แม้ว่าอียูจะประกาศฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยในทุกระดับ แต่ก็ยังมีข้อแม้ที่อยากจะเห็นตามมตินับสิบข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาดหวังว่าจะเห็นการเลือกตั้งโดยอ้างบทสัมภาษณ์นายกฯที่ระบุว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ,การตัดสินโดยศาลทหาร , ยกเลิกการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเสนอข่าวของสื่อ ตลอดจนเสรีภาพในการชุมนุมและการรวมกลุ่ม การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองและองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงการเคารพและสนับสนุนการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

โดยอียูจะติดตามสังเกตการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด

นักวิชาการจึงออกมาแสดงความเห็นกันไม่น้อย ว่าแม้จะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นแต่ก็ยังมีความกดดันรัฐบาลให้คืนเสรีภาพให้กับประชาชนอยู่ ขณะที่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยกลับมองว่า ถึงจะฟื้นความสัมพันธ์ก็คงจะไม่ส่งผลใดๆมากนักโดยเฉพาะกับสิทธิมนุษยชน

จะมีก็แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ได้ไปดูงานกัน สะดวกขึ้นหน่อย….

 

ฮิตที่ 5 บ๊ายบาย อีทิกเก็ต แม้เสียดายแต่คงต้องปล่อยมือเธอไป

นับแต่รัฐบาลได้มอบบัตรสวัสดิการรัฐ หรือ “บัตรคนจน” ไปเมื่อหลายเดือนก่อน ก็นำมาซึ่งนโยบายที่จะยกเลิกรถเมล์ฟรี ซึ่งเคยให้บริการรถเมล์ร้อนของไทยมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนๆ เปลี่ยนมาบริการฟรีเพื่อผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริง นำมาซึ่งการผุดไอเดียติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีทิกเก็ต บนรถโดยสารจำนวน 800 คัน

แรกเริ่มก็ค่อยๆติดตั้งไป 200 คันบ้าง อีก 600 คันก็จะใช้สมาร์ทโฟนประจำรถที่อยู่กับพนักงานเก็บค่าโดยสารอ่านบัตรเพื่อรับเงิน โดยจะมีสติกเกอร์ “รถคันนี้ใช้ระบบเก็บเงินอัตโนมัติ” แทนข้อความ รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนที่เคยเห็นๆกันมา มุ่งมั่นจะติดตั้งให้ครบ 2600 คันกันเลยทีเดียว

ตั้งเป้าไว้สวยหรูว่าจะเริ่มใช้เดือนตุลาคม 2560 ดีเดย์วันที่ 1 กันไป

ใช้งบประมาณค่าเช่า 5 ปี เป็นเงิน 1,665 ล้านบาท เทียบๆกันก็เหมือนเช่าคันละ 640,000 บาท

แต่….!!

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยกเลิกการติดตั้งกล่องหยอดเหรียญ (Cash Box) บนรถเมล์หลังจากติดตั้งไปแล้ว 800 คัน จากจำนวนทั้งหมด 2,600 คัน หลังทดลองใช้นับแต่ 1 พฤศจิกายน แล้วว่าไม่ผ่าน รูดการ์ดก็ไม่ได้

พูดตรงๆก็คือไม่เวิร์กนั่นเอง

ชาวเน็ตก็ได้แต่เงิบแรง ออกมางงกันถ้วนหน้า บ่นงึมงัมเสียดายงบประมาณที่เสียไปที่ซู้ด

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image