น้ำเสียง ป้องปราม มาตรการ ‘รุก’ ก้าวใหม่ คสช. และรัฐบาล

“ผมประกาศไว้เลย สถานการณ์ถ้ามีความขัดแย้งสูง การเลือกตั้งได้หรือเปล่าผมไม่รู้ เพราะฉะนั้น อย่าทำให้มันเกิดขึ้น”

คำเตือนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นี้สำคัญ

ไม่ได้เป็นคำเตือนไปยัง 2 พรรคการเมืองใหญ่ นั่นก็คือ 1 พรรคเพื่อไทย และ 1 พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

หากแต่ยังเตือนไปยัง “กองหนุน”

Advertisement

ไม่ว่าจะเป็นกองหนุนเก่าที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

ไม่ว่าจะเป็นกองหนุนเก่าที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับ กปปส. ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ในด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับ ส.ค.ส. อันส่งมาจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งก็ยืนยันถึงอำนาจที่มีอยู่ในมือ

Advertisement

จะ “เลื่อน” การเลือกตั้งก็ย่อมได้

แม้ว่าทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้ “ออกโรง” ด้วยตัวเอง แต่การส่งโฆษกระดับ พล.ท.ออกมาระบุถึง “แผน” ล้ม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ก็มากด้วยความแหลมคม

เมื่อนำเอารายละเอียดการร่ายยาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเข้ากับของ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์

ก็จะมองเห็น “ปฏิบัติการด้านการข่าว” เด่นชัด

สะท้อนให้เห็นว่า ทั้ง คสช.และรัฐบาลมิได้ประเมินบทบาทและความหมายการส่ง ส.ค.ส.จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต่ำกว่าความเป็นจริง

หากมองเห็นว่าเป็น “วิกฤต”

ขณะเดียวกันก็ยึดกุมตามหลักการของ “นักการตลาด” ระดับศิษย์ก้นกุฏิ ฟิลิปป์ ค็อตเลอร์ ว่าจะต้องแปรวิกฤตนั้นให้กลายเป็น “โอกาส”

จึงออกมาในรูปของการปรามอย่างแข็งกร้าว

สถานการณ์เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม 2561 ที่น่าจับตาจึงมิใช่การปล่อย “ภาพ” อันมาจากนครดูไบ หรือที่คาดกันว่ามาจากกรุงลอนดอน

หากแต่น่าจะเป็นจาก “กองหนุน” เก่า

เพราะไม่ว่าการออกมาของ “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่ว่าการออกมาของบางส่วนใน “กปปส.” และรวมถึงไม่ว่าจะบางส่วนของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”

ตรงนี้ต่างหากคือส่วนอันเติมเต็มความร้อนแรง

อย่างมากที่สุด หากมองจากด้านของพรรคเพื่อไทย หรือแม้กระทั่ง นปช.คนเสื้อแดง น่าจะเป็นส่วนเสริมมากกว่าจะเป็น “กองหน้า”

นั่นก็คือ เสริมเข้ากับบรรดา “กองหนุน”

เราจะสัมผัสได้ในบทบาทของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มากยิ่งขึ้น

บางทีอาจจะมี “ทหารเกษียณ” ออกโรงร่วมด้วย

เพราะว่าสัญญาณอันมาจากบ้านสี่เสาเทเวศร์นั้นมิได้เป็นโวหารอันว่างเปล่า ตรงกันข้าม มาจากการประมวลและสังเคราะห์ระดับ “เกจิ”

หลังจากน้ำเสียง “ปราม” และเน้นย้ำในเรื่องของความไม่สงบและความไม่เรียบร้อยอันดำเนินไปบนพื้นฐานแห่งอันหนักแน่นและจริงจังที่ว่า

“อย่าทำให้เกิดขึ้น ผมไม่ได้เป็นคนทำ”

หน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่ว่าทหาร ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าพลเรือน จึงพุ่งเป้าไปยัง 2 พรรคการเมืองอย่างเป็นด้านหลัก

และรวมถึงบรรดา “กองหนุน” ที่เริ่มจะแปรพักตร์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image