ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
เมื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มปรากฏตัวต่อสาธารณะ เริ่มมีภาพถ่ายเดินเหินอยู่ในลอนดอน ก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องกดดันรัฐบาล คสช.และตำรวจ ถึงการติดตามตัวเพื่อนำมาดำเนินคดีในไทย ซึ่งอันที่จริงเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
โดยมีกรณี ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่แล้ว มีการประสานตำรวจสากล เรียกร้องกันนั่นนี่นับสิบปีมาแล้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะทั่วโลกมองว่า เป็นการหลบหนีเพราะ “การเมือง” แม้จะมีหมายจับในไทยเรื่องทุจริต แต่ทั้งโลกไม่มีใครคิดเช่นนั้น
คนที่ออกมาเคลื่อนไหวป่าวร้องให้ตามล่าตัว ส่วนใหญ่ก็เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ทั้งพูดจาเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยเฉพาะต่อ คสช. เพราะหงุดหงิดมาตั้งแต่ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกไปจากประเทศไทยได้ง่ายๆ
แต่คงลืมไปว่า ยิ่งพูดถึงการตามล่ายิ่งลักษณ์ ยิ่งย้อนไปตามล่าทักษิณ
ยิ่งเป็นการเปิดโปงปัญหาภายในบ้านเราเอง เปิดโปงคู่ขัดแย้งของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เอง ว่าเล่นเกมการเมืองอย่างทำลายล้างกันเช่นไร
ยิ่งเป็นข่าวกรณี 2 พี่น้องชินวัตรมากเท่าไร ยิ่งตอกย้ำให้คนทั้งโลกหันมาพูดถึงการเมืองในไทยเรา ว่าเต็มไปด้วยปัญหา และไร้มาตรฐาน
ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่าทีของประเทศต่างๆ ทั่วโลกในกรณีทักษิณและยิ่งลักษณ์ จะออกมาอย่างเฉยเมยเช่นนี้หรือ
ก่อนหน้านี้ตำรวจไทยก็ประสานข้อมูลไปยังตำรวจสากลโดยตลอด ร้องขอให้ 192 ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การตำรวจสากล ช่วยติดตามตัวส่งกลับมาไทย
แต่เมื่อมีการเข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของอินเตอร์โพล ปรากฏข้อมูลคนไทยที่โดนหมายแดง เพียงคนเดียว คือ ทายาทกระทิงแดง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาล้วนๆ คือขับรถชนคนตาย
ส่วนรายที่มีข้อหาทางอาญาแต่เจือปนด้วยปัญหาทางการเมืองนั้น อินเตอร์โพลก็ใช้วิธีนิ่งเฉย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. แสดงท่าทีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาไม่ได้รับการตอบสนองเรื่องการส่งตัวจากต่างประเทศ เพราะเป็นเรื่องของประเทศนั้นๆ ซึ่งมีหลักในการพิจารณาในส่วนของเขาเอง มีเหตุผลของเขาเอง
ทั้งยกตัวอย่างกรณี “อดีตนายกฯคนก่อน” ว่า “กลับมาหรือยัง เขาส่งกลับมามั้ย”
บทสรุปของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อเรื่องนี้ก็คือ อย่าเอามาเป็นประเด็นในประเทศเราเองเลย
ดูจะเป็นบทสรุปที่ตรงกับนักวิเคราะห์การเมืองทั้งหลายที่เห็นว่า ยิ่งพูดเรื่องนี้เท่ากับยิ่งเข้าตัว ยิ่งเน้นย้ำชาวโลกให้เห็นเนื้อแท้ของการเมืองไทยอันยุ่งเหยิงยอกย้อน
แถมที่มาไล่บี้ฝ่ายตำรวจในการตามตัวยิ่งลักษณ์นั้น จะพบว่าจริงๆ แล้วทำงานยากกว่าหน่วยราชการอื่นๆ
โดยเทียบแล้ว หน่วยงานข่าวของทหาร ยังมีผู้ช่วยทูตทหารประจำในสถานทูตไทยในประเทศใหญ่ๆ
หรืออัยการ ยังมีอำนาจหน้าที่โดยตรง สามารถบินตรงไปประสานงานกับทางการของประเทศต่างๆ เพื่อหาข้อมูลแหล่งพักพิง หรือขอตัวกลับไทยมาดำเนินคดี เหมือนกับที่อัยการเคยบินไปจัดการเรื่องเณรคำมาก่อนหน้านี้
ขนาดกระทรวงพาณิชย์ก็ยังมีทูตพาณิชย์ ซึ่งในกรณียิ่งลักษณ์ที่มีข่าวว่าอาจจะใช้วีซ่านักลงทุนในการเข้ามาพำนักในอังกฤษ ก็น่าจะต้องทำหน้าที่หาข้อมูลการลงทุนนั้นถึงแหล่งพักพิงได้
พูดไปพูดมา สงสัย ผบ.ตร.อาจจะต้องเรียกร้องให้เปิดตำแหน่ง “ผู้ช่วยทูตตำรวจ” ในสถานทูตไทยประเทศสำคัญๆ เพื่อรับกับยุคที่คนไทยหลบหนีหมายจับไปอยู่ต่างประเทศมากมาย
แต่นั่นแหละ หมายถึงคดีที่ไม่มีปมการเมืองมาเกี่ยวพัน ซึ่งจะไม่ได้รับความร่วมมือจากใครประเทศไหนเลย
…………….
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน