บทเรียนจาก “หงส์แดง” กับภารกิจพิชิต “เรือใบ”

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล กล่าวภายหลังลูกทีมเปิดรังแอนฟิลด์เฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-3 หยุดสถิติไร้พ่ายในเกมลีกฤดูกาลนี้ของ “เรือใบสีฟ้า” ว่า นัดนี้อาจจะเป็นแมตช์ประวัติศาสตร์ เนื่องจากแมนฯซิตี้แข็งแกร่งสุดสุด ณ เวลานี้ และอาจจะไม่แพ้ใครอีกเลยไปจนจบฤดูกาลก็ได้

ฟอร์มที่เริ่มสะดุดเล็กๆ ของทีมเรือใบ (ต่อจากแมตช์เสมอ คริสตัล พาเลซ แบบไร้สกอร์) อาจเป็นสัญญาณให้ทีมที่ตามหลังมาพอจะมีความหวังอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริง ด้วยระยะห่าง 15 คะแนน ระหว่างจ่าฝูงกับ 3 ทีมอันดับท็อปอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ด้วยช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ยากจะมองว่าซิตี้จะพลาดพลั้งถึงขั้นทำแชมป์หลุดมือได้

กระนั้น ความปราชัยที่เกิดขึ้นก็ช่วยบอกอะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยก็คือแนวทางการเอาชนะทีมสุดแกร่งที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทานอย่างซิตี้ยังมีอยู่

Advertisement

นักเตะหงส์แดงทุกคนเล่นด้วยความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะเอาชนะ ขณะที่คล็อปป์วางแผนแบบกล้าเสี่ยง เน้นเพรสซิ่งสูง ให้ทุกคนวิ่งไล่บอลตั้งแต่แดนคู่ต่อสู้

เมื่อไรก็ตามที่แข้งหงส์เสียบอลก็จะรีบไปไล่เอาบอลคืน จนสร้างโอกาสทำเกมบุกในพื้นที่อันตรายของซิตี้ได้ดี ยืนยันได้จากผลงานในช่วงครึ่งหลังซึ่งลิเวอร์พูลสามารถทำได้ถึง 3 ประตูในระยะเวลาเพียง 8 นาทีเท่านั้น
ขณะที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เองพอโดนไล่บอลอย่างกดดันในแดนตัวเอง ก็เริ่มมีความผิดพลาดให้เห็น อาจจะด้วยโปรแกรมลงสนามติดๆ กันช่วงก่อนหน้านี้ที่ทำให้หลายคนเริ่มล้าไปบ้าง

Advertisement

เซร์คิโอ “กุน” อากูเอโร่ ไม่ค่อยคมและดูจะขาดความมั่นใจไปบ้าง พอไม่มี กาเบรียล เจซุส ที่เจ็บหนักทำให้แนวรุกขาดความเฉียบคมไปพอสมควร แต่ที่เริ่มน่าเป็นห่วงคือแนวรับของทีม ไม่ว่าจะเป็น จอห์น สโตนส์, นิโคลัส โอตาเมนดี้ และนายทวาร เอแดร์สัน ซึ่งต่างทำพลาดจนนำไปสู่การเสีย 3 ประตูในเกมนี้

นักวิเคราะห์มองว่า นอกจากจะเป็นสไตล์ที่คล็อปป์ถูกใจเป็นพิเศษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การสั่งให้ลูกทีมเล่นเพรสซิ่งสูงนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการศึกษาเกมลีกแมตช์อื่นๆ ที่ทีมอื่นๆ พยายามงัดแผนตั้งรับ ตั้งแต่เล่นรัดกุม ระมัดระวัง ไปจนถึงการรับเต็มรูปแบบอย่างการจอดรถบัส แต่สุดท้ายก็ยังโดนซิตี้เจาะประตูจนได้

นอกจากนี้ การที่กุนซือทั้ง 2 ฝ่ายปล่อยให้ลูกทีมมีอิสระในการสร้างสรรค์เกมบุกก็ทำให้แมตช์นี้เป็นเกมลูกหนังที่มีคุณภาพแมตช์หนึ่ง โดยซิตี้ถึงจะพ่ายแพ้ก็ยังแสดงความใจสู้ ไม่ยอมถอดใจแม้จะตกเป็นฝ่ายตาม 1-4 ในครึ่งหลัง จนหวุดหวิดจะโกงความตายไล่ตีเสมอเอาได้

สำหรับแมตช์ที่เหลือในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ทีมอื่นๆ จะมีโอกาสทำได้อย่างลิเวอร์พูลหรือไม่นั้น? ความเป็นไปได้อาจจะมีไม่มากนัก เพราะนอกจากนักเตะต้องฟิตเต็มร้อย เล่นอย่างมีวินัย และมีความมุ่งมั่นแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ แนวรุกของทีมต้องมีประสิทธิภาพมากพอจะเจาะแนวรับของเรือใบสีฟ้าด้วย

จนถึงขณะนี้ หากไม่นับแมนฯซิตี้ที่ส่องตาข่ายคู่แข่งไปแล้ว 67 ประตู ก็มีหงส์แดงเป็นทีมที่มีเกมรุกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในลีก กับผลงานการยิงคู่แข่ง 54 ประตู ส่วนทีมอื่นๆ ยังไม่มีทีมไหนยิงได้เกิน 50 ลูกเลย
หากทีมอื่นๆ จบสกอร์ไม่ได้แบบที่ลิเวอร์พูลทำ ก็ยากที่เก็บ 3 แต้มหรือแม้กระทั่งแบ่งแต้มจากแมนฯซิตี้ได้
และด้วยระยะห่างจากทีมอันดับรองๆ ถึง 12 และ 15 คะแนน หมายความว่า ซิตี้มีสิทธิแพ้ได้ถึง 4 นัด ก็ยังสามารถนำจ่าฝูงต่อไปในฤดูกาลที่เหลือ หรือต่อให้มีแต้มเท่ากัน หากยังรักษามาตรฐานเกมรุกเอาไว้ได้ ก็อาจจะคว้าแชมป์ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่าอยู่ดี

ดังนั้น ความสำเร็จของหงส์แดงในเกมนี้จึงอาจจะไม่ค่อยเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับเพื่อนร่วมลีกในแง่การเบียดแย่งแชมป์เท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นฟุตบอลถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ซิตี้ก่อนหน้านี้ แข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน ชนิดนักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิลุ้นครองตำแหน่งเจ้ายุโรปได้ แต่หลังจากพ่ายให้ลิเวอร์พูล เชื่อว่าบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดของลีกอื่นๆ ย่อมต้องมองเห็นช่องทางในการจมเรือใบกับเขาบ้างแล้ว

ส่วนลิเวอร์พูล นอกเหนือจากเครดิตที่ได้รับจากชัยชนะนัดนี้ไปเต็มๆ ก็คงเป็นการส่งสัญญาณบอกวงการลูกหนังว่า ถึงจะเป็นแมตช์แรกที่พวกเขาไม่มี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ ซึ่งเพิ่งย้ายซบทีม บาร์เซโลน่า แต่พวกเขาก็ยังเดินหน้าต่อได้อย่างแข็งแกร่ง

ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเหมือนกับที่คล็อปป์บอกนั่นแหละ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image