5 ข่าวฮิตแห่งวีก “บิ๊กป้อม” ชี้แจงนาฬิกาหรู เมื่อคำว่า “ยืมเพื่อนมา” ดังไกลถึงสื่อนอก

กลับมาให้เหล่านักอ่าน นักเสพข่าวได้อัพเดทข่าวคราวในรอบสัปดาห์อีกครั้ง

แน่นอนว่า ในสัปดาห์นี้ยังคงมีข่าวฮิตที่คนติดตามมานำเสนออย่างต่อเนื่อง อย่างกรณี เมย์ – เจย์ ที่เพิ่งจะเลิกรากันไปก็ถือเป็นหนึ่งข่าวที่คนให้ความสนใจกันอย่างมากว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่สะบั้นรักกันกันแน่

แต่สัปดาห์นี้ยังมีข่าวร้อน ที่น่าติดตามอย่างต่อเนื่อง มติชนออนไลน์ ได้หยิบมานำเสนอ โดยเฉพาะกับเรื่องดังข้ามปีอย่างนาฬิกา ริชาร์ด มิลล์ ต้องไม่พลาด

ฮิตที่ 1 ที่มานาฬิกาหรู กับเหตุผลของลุงป้อมเมื่อเจ้าตัวตอบ “ยืมเพื่อนมาใส่”

Advertisement
แฟ้มภาพ

ประเดิมสัปดาห์นี้ของ 5 ข่าวเด็ดประจำสัปดาห์นี้ จะเป็นเรื่องอะไรไม่ได้นอกจากเรื่องนาฬิกาหรูของ บิ๊กป้อม – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กลายเป็นเรื่องที่ทั่วไทยติดตามกันมาข้ามปี นับแต่ลุงป้อมได้ยกเอาข้อมือประดับริชาร์ด มิลล์ขึ้นมาบังแดดขณะถ่ายภาพหมู่ครม.ตู่ 5 จวบจนวันนั้นนับกว่า 2 เดือนแล้วมหากาพย์เรื่องนี้ก็ดูจะไม่จบง่ายๆ

เริ่มตั้งแต่เพจดังที่ต่างขุดเอาภาพเก่าๆ ของเหล่านาฬิกาหรูบิ๊กป้อม ที่ใส่มาร่วมงานมาให้ยลกันเล่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าปล่อยไปปล่อยมาจะรวมแล้วได้กว่า 25 เรือน ตีตัวเลขได้เฉียด 30 ล้านเบาๆ แต่ไม่ว่าจะถูกสื่อคาดคั้นอย่างไร ท่านรองนายกฯก็ไม่เค้ยยยไม่เคยที่จะออกมาพูดอะไรให้ฟังถึงเรื่องดังกล่าว บอกคร่าวๆเพียงว่าส่งหนังสือชี้แจงไปยัง ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว และจะไม่ชี้แจงอะไรกับสื่อทั้งนั้น ผ่านไปสักพัก ป.ป.ช.ก็ได้ออกมาแถลงกับสื่อเรื่องดังกล่าว ที่ฟังดูยังไงก็ไม่กระจ่างแก่ใจชาวเน็ตสักเท่าไหร่ รู้เพียงว่าส่งหนังสือมาแล้ว และเป็นเรื่องของคดี

แต่ล่าสุด “บิ๊กป้อม” ก็ได้ฤกษ์เปิดปากครั้งแรกถึงเรื่องริชาร์ด มิลล์ ที่ขยายไลน์ออกไปถึงปาเต็ก ฟิลลิป , โรเล็กซ์ แทบจะครบถ้วนกันไปทุกแบรนด์ว่าไม่ได้นอยด์กับข่าวที่เกิดขึ้น และที่จริงแล้ว “ผมไม่มีหรอก ผมมีเพื่อน เพื่อนเอามาให้ผมใส่แค่นั้นเอง และก็คืนเขาทั้งหมดทุกเรือน” ตอบข้อสงสัยของเหล่าคนไทยได้อย่างง่ายดาย แถมยังว่าพร้อมลาออก แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะกริบ เพราะทันทีที่บิ๊กป้อมออกมาพูดว่านาฬิกาทั้งหมดนั้นได้แต่เพื่อนมา ก็ทำให้เหล่าผู้ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดออกมาแสดงความคิดเห็นทันควัน โดยเฉพาะกับป้ามล – ทิชา ณ นคร ที่สวนทันทีบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า หากป.ป.ช.เชื่อก็ Reset ป.ป.ช. เถิด  ซึ่งในเรื่องนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. ก็ยังออกมาพูดว่าแม้จะยืมเพื่อนมาใส่ ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าข่ายรับของขวัญ 3000 บาท อย่างเด็ดขาด และขณะนี้ตัวท่านเองก็ยังไม่ได้เห็นหนังสือชี้แจงทั้ง 2 ฉบับโดยละเอียด ก็คงต้องให้เวลาท่านไปทำความเข้าใจสักระยะ

Advertisement

การออกมาชี้แจงครั้งแรกของทั่นรองนายกฯนี้ นอกจากจะจุดประเด็นฮือฮาขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย แต่สื่อต่างประเทศทั้งหลายก็ไม่วายตีข่าวนี้ไปทั่วโลกเช่นกัน ตั้งแต่ AP ,Daily mail ไม่เว้นแม้แต่สำนักข่าว KBS ที่ผู้ประกาศนำไปอ่านออกอากาศกันอย่างเพลิดเพลิน จนเรียกว่าไทยแลนด์ฟีเวอร์ เรียกกันไปว่า นายพลโรเล็กซ์ ทำเอาท่านทูตมาร์ก เคนท์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยกับภาพจำที่พูดไทยได้คล่องปรื๋อ ย้ายไปประจำที่อาร์เจนตินาในขณะนี้ ยังต้องอึ้งออกมาทวีตว่า “ไม่เข้าใจเลยว่าใครๆ แม้กระทั่งชาวอังกฤษอย่างพวกเราที่ตรงเวลาสุดๆ จะต้องใส่นาฬิกามากถึง 25 เรือน เรามีแค่สองข้อมือ แถมยังดูเวลาจากโทรศัพท์เป็นส่วนใหญ่ด้วย”

เรียกว่าได้กระแสทั้งไทยและเทศ

จนบัดนี้ก็คงได้แต่ติดตามผลสอบของ ป.ป.ช.กันแล้วว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป ส่วนชาวเน็ตจะคิดอย่างไรก็คงต้องแล้วแต่เธอ…

 

ฮิตที่ 2 เด้งระนาวเซ่นค้ามนุษย์อาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเคร็ท”

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนต่างจับตามอง กับการบุกค้นสถานอาบอบนวด วิคตอเรียซีเคร็ท เพื่อจับ “ป๋ากบ” ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากการร้องขอของมูลนิธิพิทักษ์สตรีให้เข้าช่วยเหลือเหยื่อที่เป็นเด็กหญิงพม่า ซึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องทั้งไทย พม่า และมาเลเซีย แถมมีการนำพาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาค้าประเวณีในประเทศไทย เมื่อสอบสวนแล้วพบว่ามีการนำเด็กมาค้าประเวณีตั้งแต่อายุ 12 ปีเท่านั้น!! และจากการตรวจค้นยังพบเหยื่อถูกบังคับค้าประเวณีรวม 113 ราย ส่วนใหญ่ยังเป็นชาวต่างด้าวอีกด้วย

ศาลจึงอนุมัติหมายจับ ป๋ากบ – บุญทรัพย์ อมรรัตนาศิริ หัวหน้าพนักงานเชียร์แขก โดยทันที 6 ข้อหา

ไม่นาน โพยรายละเอียดการรับรอง 100% ของวิคตอเรีย ซีเคร็ท ก็แพร่สะพรัดไปทั่ว กวาดไปตั้งแต่ผู้กับกับ ผู้การ ไปจนสายตรวจ นำมาสู่การเด้ง 5 เสือวังทองหลางเพื่อสอบสวนตามมาติดๆ ก่อนจะมีการออกหมายจับ “เจ๊ตูน” น.ส.ศศิธร วิระเทพสุภรณ์ หุ้นส่วนใหญ่ของสถานบริการวิคตอเรียซีเคร็ท รวม 13 ข้อหา ทั้งค้ามนุษย์ เป็นธุระจัดหาเด็กต่ำกว่า 18 ให้ค้าประเวณี

งานนี้เรียกได้ว่ามีตัวละครกระโดดเข้ามาแจมอยู่ไม่น้อย ทั้งแวดวงสตรี นักวิชาการ ตำรวจ ไปจนถึงกระทรวงทรัพย์ฯ ที่สั่งตรวจสอบด้วยว่า ใช้น้ำบาดาลหรือไม่!!?

ที่ดูจะเป็นผลต่อรูปคดีทันที ดูเหมือนจะเป็น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ ออกมาพูดผ่านรายการ “ชูวิทย์มีเรื่องเล่า” ในฐานะเป็นอดีตเจ้าของผู้ขาย วิคตอเรียซีเคร็ท ให้กับเจ้าของคนปัจจุบัน เปิดชัดๆเลยว่าที่จับได้นั้นเป็นเพียงนอมินี แต่เจ้าของที่แท้จริงเป็น “เสี่ย ก.” ตามสกุลเดียวกับ “เจ๊ตูน” นักเลงพระชื่อดัง และยังส่วนกับการทำทีมฟุตบอลจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ รวมไปถึงเปิดทุกระบบปฏิบัติการอาบอบนวด ตั้งแต่รหัสเรียก การเก็บส่วย ค่ารับรอง ไปจนถึงเจ้าของ ที่ข้อมูลลึกจนกล้าท้าดีเอสไอให้เชิญไปให้ข้อมูลได้

เท่านั้นเอง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ก็รับคำท้า เชิญชูวิทย์ มาเป็นพยานให้ปากคำทันที หลังให้คำมั่นว่าคดีนี้จะต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นเดียวกับอาบอบนวดนาตาลี !!

งานนี้เฮียชูก็เปิดรายชื่อตัวจริงกันจะจะ ล่าสุด เมื่อเย็นวันที่ 19 มกราคมนี้เอง พนักงานสอบสวนวังทองหลาง ก็ได้ออกหมายจับ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล พร้อมเมีย – นางนิภา วิระเทพสุภรณ์ หรือธีระตระกูลวัฒนา อายุ 68 ปี โดยทันที

ซึ่งขณะนี้ มีผู้ที่ถูกออกหมายจับแล้วนับสิบกว่าราย และยังคงเป็นที่ติดตามของประชาชนต่อไป

 

ฮิตที่ 3 ลูกจ้างได้เฮ ค่าแรงขั้นต่ำเขยิบแล้ว

หลังจากเป็นปัญหายืดเยื้อของกระทรวงแรงงานมาอย่างยาวนาน เมื่อองค์กรต่างๆ อาทิ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พร้อมด้วยเครือข่ายแรงงาน ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างในปี 2561 กับนายกฯ หลังจากยื่นเรื่องถึงกระทรวงแรงงานเท่าใดก็ดูจะไม่เป็นผล ก็เนื่องด้วยค่าครองชีพอย่างปัจจุบัน ค่าแรงวันละ 300 บาทก็ดูจะไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ซะเลย แรกๆก็ขอเรียกร้องถึงวันละ 700 บาท เทียบจากอัตราเงินเฟ้อต่างๆ และยังร่อนแบบสอบถามเกือบหมื่นชุดไปยังพี่น้องแรงงาน 77 จังหวัดอีกด้วย

แต่แม้จะออกมาเรียกร้องกันนานเท่าไหร่ก็ดูจะหาข้อสรุปไม่ได้สักที ทำเอา บิ๊กบี้- พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ยกทีมคณะทำงานลาออกยกชุด จนกระทั่งต้องย้าย บิ๊กอู๋ – พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว มานั่งเป็นเจ้ากระทรวงแทน แก้ปัญหาทั้งต่างด้าว ค่าแรง ค้ามนุษย์อีกมากมาย ขอเวลาศึกษาและพิจารณาอยู่เนิ่นนาน

ในที่สุดประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ก็ได้ฤกษ์เคาะค่าแรงขั้นต่ำ หลังจากประชุมยาวนาน 7 ชั่วโมง ขึ้นทั้งหมด 7 อัตรา ตั้งแต่ 8-22 บาท เริ่มจาก 330 บาทต่อวัน ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง,  325 บาทต่อวัน ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา , 320 บาทต่อวัน  มี 14 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี สุพรรณบุรี สระบุรี อยุธยา หนองคาย ลพบุรี ตราด ขอนแก่น สงขลา สุราษฎร์ธานี กระบี่ เชียงใหม่ นครราชสีมา และพังงา ,  318 บาท ได้แก่ จันทบุรี สมุทรสงคราม สกลนคร มุกดาหาร นครนายก กาฬสินธุ์ และปราจีนบุรี

315 บาทต่อวัน มี 21 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด ประจวบคีรีขันธ์ นครสวรรค์ สระแก้ว พัทลุง อุตรดิตถ์ อุดรธานี นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ เพชรบุรี พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยนาท เลย ยโสธร พะเยา บึงกาฬ น่าน กาญจนบุรี และอ่างทอง และ จังหวัดที่ได้ขึ้นเป็น 310 บาท มี 22 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี นครศรีธรรมราช ตรัง แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน เชียงราย สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี ศรีสะเกษ ตาก ชัยภูมิ อำนาจเจริญ แพร่ ราชบุรี ระนอง มหาสารคาม ชุมพร หนองบัวลำภู และสตูลขณะที่ จังหวัดที่ได้ขึ้นเป็น 308 บาท  ได้แก่ นราธิวาส ยะลา และปัตตานี

พร้อมปรับขึ้นให้ลูกจ้างทั่วไทย ดีเดย์ 1 เมษายนนี้ ส่วนสถานประกอบการที่ย่อมได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงเป็นธรรมดา ก็มีมาตรการให้ใช้ค่าจ้างแรงงานไปลดภาษีได้ 1.5 เท่า และในส่วนของสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 50 คนขึ้นไป ก็ให้จัดทำโครงสร้างในชัดเจนเพื่อไปแก้กฎหมายรองรับต่อไป ซึ่งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2556 โดยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

ฮิตที่ 4  รื้อ ‘ป้อมมหากาฬ’ อีกระลอก กอ.รมน. เรียกสื่อคุย ชาวบ้านโวยไม่เว้นแม้บ้านอนุรักษ์

แฟ้มภาพ

มีความเคลื่อนไหวคืบหน้าต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ สำหรับกรณีชุมชนป้อมมหากาฬซึ่งกลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนอีกครั้ง เมื่อกทม.เข้ารื้อบ้านเลขที่ 63 ประเด็นสำคัญที่สังคมฮืออา ไม่ใช่เรื่องของบ้านที่ถูกรื้อล่าสุดซึ่งเจ้าของสมัครใจ หากแต่เป็นบ้านหลังถัดไปในแผนรื้อ นั่นคือ บ้านเลขที่ 111 ซึ่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ รองผอ.สำนักการโยธาพยักหน้ายอมรับว่าเตรียมการรื้อจริงตามกระแสข่าว รวมถึงเตรียมรื้อหลังอื่นๆตามมาอีกหลายหลัง โดยมองว่าอยู่ในสภาพ ‘ดูไม่ได้’ แต่ยืนยันไม่ได้มุ่งทำลายล้างประวัติศาสตร์ แต่ปรารถนาดีที่จะรีโนเวทให้สวยงามสมศักดิ์ศรี ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยเหลือชาวบ้านทุกอย่าง โดยเตรียมที่พักไว้ให้ในย่านแม้นศรี

วันเดียวกันนั้น นักสิทธิมนุษชน นำโดย เตือนใจ ดีเทศน์ เข้าพูดคุยกับ กอ.รมน.กทม. ซึ่งพักอาศัยในชุมชนนานถึง 2 เดือน ฝากถ้อยความถึงผู้ว่ากทม. ให้รับฟังข้อเสนอแนะของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสียก่อน

ทั้งนี้ ระหว่างสื่อมวลชนกำลังทำงาน ก็มีชายฉกรรจ์ 2 รายเข้ายับยั้ง โดยบอกว่าเป็น ‘พื้นที่ควบคุม’ ต่อมา เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.กทม. (ฝ่ายทหาร) ยังเชิญสื่อคุย ขอให้สัมภาษณ์ชาวบ้าน 3 รายที่นั่งรออยู่ และขอให้สื่อเสนอข่าวอย่างเป็นธรรมทุกฝ่าย

ในช่วงเย็นวันนั้น ประธานชุมชนป้อมมหากาฬ ยังเข้าชี้แจงกอ.รมน.กทม.ที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ตามหมายเรียกจากการถูกชาวบ้านรายหนึ่งร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมคล้าย ‘มาเฟีย’ โดยถกเถียงกันอย่างร้อนแรง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมจากโลกออนไลน์อย่างมากมาย โดยมีการเผยแพร่เอกสารที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผลการหารือของคณะกรรมการหลายฝ่าย ที่มีการ ‘ลงนาม’ ยอมรับคุณค่าร่วมกัน ทว่า กลับไม่ถูกนำมาใช้ รวมถึงจดหมายของคณะกรรมการสิทธิฯ 6 รายที่ร่วมลงชื่อพร้อมมีข้อเสนอหลายประการถึงกทม.

ตัดภาพไป หอหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครฯ ก็มีการเปิดตัวนิทรรศการ ‘Last Stand For Pommahakan’ โดยนักนสพ.อิตาเลียน Jan Daga ผู้บันทึกภาพมากมายในช่วงปลายปี 2559 เป็นต้นมา ทั้งยังมีเสวนาโดยผศ.ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร และศาสตราจารย์ ไมเคิล เฮิร์ซเฟล อาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งตั้งคำถามว่า ‘กทม.ภูมิใจสิ่งที่ทำอยู่หรือ?’

ต่อมา ในช่วงปลายสัปดาห์ เกิดกระแสข่าวว่ากทม.จะเข้ารื้อบ้านเลขที่ 127/1 ซึ่งสร้างในปี 2495 บนพื้นที่ตั้งวิกพระยากเพชรปาณี สมัยรัชกาลที่ 5 ก่อเกิดความซึมเซาเข้าครอบคลุมชุมชนอีกครั้ง โดยมีนักวิชาการเข้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่อง

นี่คือหนึ่งในข่าวสุดเข้มข้นที่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปแบบห้ามกระพริบตา !

 

ฮิตที่ 5 : ดัน “ป่าภูพาน” เป็นฐานผลิตกัญชาสายพันธุ์ดี      

มีข่าวปลูก “กัญชา” ถูกกฎหมายที่ไร เรียกเสียงฮือฮาได้ตลอดทุกครั้ง มาคราวนี้ เจ้าของตำนาน “ไอ้ก้านยาว” แห่งยุค 14 ตุลาฯ ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปัจจุบันนั่งแท่น ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ออกมาจุดพลุ เล็งใช้พื้นที่ทหารบน “ป่าภูพาน” แถวสกลนคร ปลูกนำร่อง 5 พันไร่ เพื่อวิจัยกัญชาทำยารักษาโรค เพราะเป็นต้นน้ำสงคราม เป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์พืชกัญชาที่ดีที่สุด

แน่นอน สำหรับประเทศไทยกัญชายังเป็นยาเสพติด แต่หลายประเทศ โดยเฉพาะชาติตะวันตก ยอมให้กัญชาเป็นยารักษาโรค และก็พูดกันมาหลายยุคว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ ไทยในฐานะแหล่งกำเนิดพันธุ์กัญชาชั้นดี ภูมิประเทศ และอากาศเหมาะสมเพราะเป็นพืชเมืองร้อน จะเปลี่ยนกัญชาที่ปัจจุบันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 เพื่อที่จะสามารถผลิตกัญชาคุณภาพ ส่งออก หรือสกัดเป็นสารทำยา ส่งขายโกยเงินตราต่างประเทศ ควบคู่กำกับควบคุมจัดการภายในบ้านเรา

เพราะ จากข้อมูลที่ “บิ๊กหมาย” พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) พบว่า สถานการณ์ยาเสพติดประเภทกัญชา ในปัจจุบันถือว่าเริ่มมีแนวโน้มลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น เพราะเป็นแหล่งเพาะปลูกอย่างดี และเป็นที่ต้องการของหลายประเทศในต่างประเทศที่เปิดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างเสรี แต่ขณะนี้ หากมีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศ ยังถือว่ามีความผิด ต้องจับดำเนินคดีทั้งหมด

ทั้งนี้ทั้งนั้น เหตุผลสำคัญที่กัญชายังถูกกฏหมายในประเทศไทยไม่ได้ ก็คงเป็นอย่างที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอก โดยเฉพาะ ทัศนคติคนไทยที่ยังรับไม่ได้ จึงขอให้ศึกษาเรื่องดังกล่าวไปเรื่อยๆก่อน

สภาเกษตรกรฯ จึงขานรับร่วมกับองค์การเภสัชกรรม, อย., ป.ป.ส. จัดเวทีวิชาการเรื่อง “กัญชาเป็น ยารักษาโรค” ระดมนักวิชาการ, แพทย์, นักกฎหมาย และผู้เกี่ยวข้องมาแลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่าง 8-9 กุมภาพันธ์นี้ จากนั้นเดือนมีนาคมนี้ จะเปิดเวที “พันธุกรรมของกัญชา” ก่อนสรุปข้อมูลส่งรัฐบาลเพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้ายต่อไป

และ ทั้งหมดเป็น 5 ข่าวฮิตประจำสัปดาห์นี้ โดยในสัปดาห์หน้าคงต้องตามต่อ โดยเฉพาะ “ข่าวการเมือง” ที่ทำท่าจะร้อนหนัก หลังกมธ.สนช.ชงยืดระยะเวลาการบังคับใช้กฏหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไป 90 วัน ทำให้โรดแมปเลือกตั้งมีแนวโน้มต้องเลื่อนออกไปไกลถึงต้นปี 2562 ไม่ใช้เดือนพฤศจิกายนนี้ตามที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ สัญญาเอาไว้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image