Darkest Hour วีรบุรุษที่ชื่อ “วินสตัน เชอร์ชิล”

Darkest Hour วีรบุรุษที่ชื่อ “วินสตัน เชอร์ชิล”

นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่า ยุทธการที่ดันเคิร์กเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง Darkest Hour ดูๆ ไป เหมือนภาคแยกของหนัง Dunkirk เพราะหนังพาคนดูย้อนกลับไปเบื้องหลังการสั่งการ ในช่วงที่ “วินสตัน เชอร์ชิล” รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเดือนแรก ในปี 1940

เนวิล เชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีก่อนหน้านั้น ถูกรัฐสภาไม่ไว้วางใจจนต้องลาออก ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วยที่จะให้เชอร์ชิลขึ้นเป็นนายกเพราะ “ประวัติเขาไม่เอาถ่านเลย” แต่เชอร์ชิลเป็นคนเดียวที่ฝ่ายค้านยอมรับได้ ช่วงนั้นยุโรปตะวันตกอยู่ในสภาพที่กำลังจะล่มสลาย โปแลนด์ ฝรั่งเศส ถูกนาซีบุกยึด อังกฤษตกอยู่ในภาวะคับขัน และถูกคุกคามอย่างหนัก จนแทบไม่เห็นหนทางชนะ

เชอร์ชิลขึ้นดำรงตำแหน่งท่ามกลางความกังขาและไม่มั่นใจจากสมาชิกพรรคเดียวกันและแม้แต่จากพระเจ้าจอร์จที่หก ศึกที่ต้องเผชิญ มีทั้งศึกภายนอกและภายใน ที่ต้องต่อสู้กันทั้งกำลังและความคิด ไม่ใช่แค่กองทัพนาซีที่รุกคืบมาใกล้เท่านั้น แต่รวมถึงคนในพรรคอนุรักษนิยม ที่ต้องการสันติภาพและอยากเจรจาสงบศึก และไม่เห็นด้วยกับประกาศหนักแน่นของเชอร์ชิลที่จะ “Never never never surrender”

Advertisement

พูดตามตรงว่าครั้งแรกไม่นึกว่าหนังเรื่องนี้จะน่าดูยังไง เหมือนเป็นหนังประวัติศาสตร์ที่คงจะมีแต่บทพูด ฉากแอคชั่นสู้รบก็แทบจะไม่มี แถมพระเอกทั้งอ้วน ทั้งแก่ แต่พอดูแล้ว ต้องยอมรับว่า แกรี่ โอลด์แมน ในบทเชอร์ชิล ทำให้หนัง Darkest Hour เป็นหนังประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต

แม้ไม่มีภาพสงครามการต่อสู้ที่ดูแล้วมัน แต่การปะทะกันทางความคิดและคารม ระหว่างเชอร์ชิลและสมาชิกพรรคอนุรักษนิยมที่มีความเห็นตรงข้ามกับเขา เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก คนดูสัมผัสถึงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง กล้าหาญ สู้ทุกรูปแบบเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ฉากเชอร์ชิลลงจากรถและขึ้นรถไฟใต้ดินเป็นฉากประทับใจ ที่แสดงให้เห็นว่าการยืดหยัดของเขา ยืนอยู่บนฐานการฟังเสียงจากประชาชน

ผู้กำกับ โจ ไรท์ ที่ถนัดหนังแนวสงคราม และเคยพาหนังที่เกี่ยวกับดันเคิร์ก เรื่อง Atonement เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงหกสาขา มีสายตาที่แหลมคมมาก ที่เลือกโอลด์แมนรับบทนี้ ตัวโอลด์แมนเองก็พูดว่า “จริงๆ แล้ว ผมมีโอกาสจะได้เล่นเป็นเขา (เชอร์ชิล) หลายปีแล้ว แต่ผมปฏิเสธข้อเสนอ สิ่งที่เป็นอุปสรรคไม่ใช่ความท้าทายทางด้านจิตใจหรือสติปัญญา แต่เป็นทางด้านกายภาพ คุณลองดูผมแล้วดูเชอร์ชิลสิ”

Advertisement

แต่ด้วยความสามารถของ คาซึฮิโร ซึจิ ช่างแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ เขาแปลงโฉมโอลด์แมน จากชายร่างผอมเพรียว ให้กลายเป็นเชอร์ชิลซึ่งมีร่างอ้วนท้วนได้อย่างสมจริง ไม่มีคราบ ผบ.จิม กอร์ดอน จาก The Dark Knight Trilogy ทั้งยังไม่เหมือนในหนัง The Space Between Us หรือ The Hitman’s Bodyguard ที่เขาเพิ่งแสดงไปเมื่อปีที่แล้ว

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงเป็นเชอร์ชิล “คนที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ และมีการพูดถึงอย่างมากมาย” แต่โอลด์แมน เลียนแบบบุคลิกชายแก่เจ้าอารมณ์ ดื่มหนัก และสูบซิการ์จัด ได้อย่างแนบเนียน ทั้งยังฝึกออกเสียงอย่างหนัก เปลี่ยนเสียงตัวเองให้กลายเป็นชายวัย 66 ปี ที่มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล

เชอร์ชิลที่เห็นในหนังเป็นตัวละครที่มีมิติมาก นอกจากจะเป็นนักการเมืองที่แบกภาระของประเทศไว้บนบ่า ด้วยความรับผิดชอบต่อแผ่นดินเกิด อย่างทรหดและกล้าหาญแล้ว ยังมีมุมอ่อนโยนต่อคนในครอบครัว มีความเป็นปุถุชนที่แสดงความท้อแท้และอ่อนไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าเคลมมี ภริยาที่ตนรัก มีอารมณ์ขัน และเป็นนายที่แม้จะเอาแต่ใจตัวแต่ก็เมตตาลูกน้อง

ทั้งสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงสมจริง จนนักแสดงที่ร่วมแสดงไม่ว่าจะเป็น คริสติน สกอต โทมัส ในบท เคลมมี่ เบน เมนเดลโซห์น บทพระเจ้าจอร์จที่หก และ ลิลลี่ เจมส์ ซึ่งแสดงเป็นเลขาส่วนตัว ทึ่ง และรู้สึกเหมือนกำลังอยู่กับเชอร์ชิลจริงๆ จึงไม่แปลก สำหรับรางวัลลูกโลกทองคำนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ที่โอลด์แมนเพิ่งได้รับไปหมาดๆ คงต้องลุ้นว่า บทนี้จะนำเขาไปสู่รางวัลออสการ์ปีนี้ได้หรือไม่

งานภาพสวยทั้งที่เป็นหนังประวัติศาสตร์ ฉากที่ชอบมากที่สุดคือฉากสุดท้ายในรัฐสภา (ที่ทีมผู้สร้างได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำที่พระราชวังเวสต์มินสเตอร์) เชอร์ชิลกล่าวสุนทรพจน์ที่รู้จักกันดีในชื่อ We shall fight on the beach. ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดของโลก (และเป็นสุนทรพจน์ที่ทิ้งท้ายไว้ในตอนจบของหนังเรื่อง Dunkirk เช่นกัน) และเดินออกจากรัฐสภาท่ามกลางเสียงเชียร์และความรู้สึกฮึกเหิมของสมาชิกในสภา แสง สี ภาพสวยงาม

สมความยิ่งใหญ่และความทระนงของวีรบุรุษสงครามที่ชื่อ วินสตัน เชอร์ชิล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image