สพฐ.สังคายนา ‘กฎหมาย-คำสั่ง’ ล่วงละเมิดน.ร. 29 ม.ค.นี้ 

ความคืบหน้ากรณีนายณฐาภพ บุญทองโพ ผอ.โรงเรียนบ้านป่าตองท่าเนินสามัคคี อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ถูกกล่าวหามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกศิษย์ซึ่งเป็นนักเรียนหญิงชั้นม.2 อายุ 14 ปี โดยสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา จะออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงในวันที่ 29 มกราคมนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอศาลออกหมายจับหลังจากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่มารับทราบข้อหา ในคดีพรากผู้เยาว์เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีและคดีกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และล่าสุดมีนักเรียนหญิงม.2 อายุ 13 ปีซึ่งเป็นนักเรียนห้องเดียวกับเหยื่อรายแรก ได้เข้าแจ้งความสภ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมาว่าถูกผู้อำนวยการโรงเรียนรายเดียวกันนี้ ลวนลาม จับมือ จับแขน ลูบขา พร้อมชวนมีเพศสัมพันธ์ โดยเสนอเงิน 2,000 บาทนั้น

เมื่อวันที่ 27 มกราคม นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า จะมีการประชุมวันที่ 29 มกราคมนี้เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและป้องปรามปัญหาอย่างยั่งยืน

ด้านนายธีร์ ภวังคนันท์ หัวหน้าศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน (ฉก.ชน.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า เลขาธิการกพฐ.กำชับให้เข้มงวดเรื่องนี้มาโดยตลอด และมีการสั่งการให้ตรวจสอบไปตามข้อเท็จจริงโดยไม่ให้มีการช่วยเหลือกัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมาก็เพิ่งกำชับในรายการ “พุธเช้าข่าวสพฐ.” แล้วมาเกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้เลขาธิการกพฐ.สั่งการให้ประมวลกฎหมาย ข้อสั่งการ และมาตรการต่างๆ เพื่อมาวิเคราะห์ดูว่ามีจุดโหว่ตรงไหนถึงได้เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อจะได้ปรับปรุงให้ทันสมัยและอุดช่องโหว่ จะเรียกว่าเป็นการสังคายนาก็ได้ โดยตนจะรวบรวมข้อมูลนำเข้าที่ประชุมวันที่ 29 มกราคมนี้ โดยผู้เข้าประชุม ประกอบด้วย เลขาธิการกพฐ. และหน่วยปฏิบัติที่ใช้กฎหมายและข้อสั่งการดังกล่าว ได้แก่ ตัวแทนเขตพื้นที่ฯ ตัวแทนผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานในสพฐ.ที่เกี่ยวข้อง นัดแรกคงได้แค่กรอบแนวคิด คงต้องประชุมอีก 2-3 ครั้งถึงได้ข้อสรุป

นายธีร์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นเท่าที่ต้องประมวล เช่น ข้อสั่งการเรื่องคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ต้องดำเนินการสืบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน ข้อสั่งการนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2550 สมัยที่คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นเลขาธิการกพฐ. ก็ต้องมาดูว่าจะยังทันการณ์กับสมัยนี้อยู่หรือไม่ แต่อย่างกรณีผู้อำนวยการโรงเรียนรายนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)นครราชสีมา เขต 6 ตั้งคณะกรรมการสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงทันทีและดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 3 วัน ก็เสนอสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)นครราชสีมา ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงต้องชื่นชมสพป.นครราชสีมา เขต 6 ที่ไม่ปล่อยปละละเลยและตัดสินใจรวดเร็ว

Advertisement

นายธีร์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ก็ต้องประมวลรอยต่อการทำงานระหว่างเขตพื้นที่ฯ กับสำนักงานศธจ. ว่าจะเป็นอุปสรรคอย่างไรหรือไม่ โดยธรรมชาติการทำงานภายใต้สังกัดเดียว จะรวดเร็ว แต่กรณีนี้เขตพื้นที่ฯ ต้องทำหนังสือไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดซึ่งอยู่ต่างสังกัด จึงต้องมาวิเคราะห์ว่ารอยต่อดังกล่าว จะเป็นอุปสรรคอย่างไรหรือไม่ ถึงแม้ในทางปฏิบัติสำนักงานศธจ.ก็ต้องเร่งดำเนินการอยู่แล้วก็ตาม ตลอดจนวิเคราะห์ถึงมิติการทำงาน โดยฉก.ชน.จะไปช่วยสนับสนุนเขตพื้นที่ฯ ในการตรวจสอบเพื่อให้การทำงานสะดวกราบรื่นมากขึ้น แต่ก็ต้องวิเคราะห์สรรพกำลังและองค์กรว่ายังติดขัดอะไรบ้างหรือไม่ เพราะปัจจุบันฉก.ชน.ไม่ใช่หน่วยงานหลัก มีข้าราชการและอัตราจ้างดูแลไม่กี่คน ขณะที่บทบาทของฉก.ชน.จะต้องลงไปดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของนักเรียนที่เป็นเหยื่อ อย่างไรก็ตามในการประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีข้อเสนอให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลงานคุ้มครองนักเรียนประจำเขตพื้นที่ฯ 1-2 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างคำสั่งเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดูแลนักเรียนเป็นการเฉพาะ

นายธีร์ กล่าวด้วยว่า จากการเก็บสถิติข้อมูลกรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศและกรณีความรุนแรงปี 2560 ที่มีโทรเข้ามาที่ฉก.ชน. เพื่อขอความช่วยเหลือ พบว่ามีทั้งหมด 202 คดี จำแนกเป็น กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ 68 คดี แยกเป็น เด็กกับเด็ก 10 คดี ครู/บุคลากรทางการศึกษา กับเด็ก 8 คดี บุคคลอื่นกับเด็ก 33 คดี และบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 17 คดี ส่วนกรณีความรุนแรง 134 คดี แยกเป็น เด็กกับเด็ก 92 คดี ครู/บุคลากรทางการศึกษากับเด็ก 7 คดี บุคคลอื่นกับเด็ก 13 คดี ฆ่าตัวตาย/ทำร้ายตัวเอง 3 คดีและบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 19 คดี ทั้งนี้ถือว่าลดน้อยลงจากปีก่อน โดยปี 2559 มี 326 คดี จำแนกเป็น กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ 66 คดีและกรณีความรุนแรง 260 คดี และปี 2558 จำนวน 525 คดี แยกเป็น กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ 107 คดีและกรณีความรุนแรง 418 คดี ฉะนั้นถือได้ว่าฉก.ชน.สามารถคลี่คลายปัญหา จนทำให้สถิติลดน้อยลงตามลำดับ

นายธีร์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ถามว่ากรณีผู้อำนวยการโรงเรียนกับนักเรียนในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ข้อมูลเฉพาะในส่วนที่ร้องเรียนมาที่ฉก.ชน. จะเป็นลักษณะเด็กไม่สมยอม เข้าข่ายล่วงละเมิด ข่มขืน แต่ลักษณะที่สมยอม เพิ่งจะเห็นจากข่าวนี้เป็นครั้งแรก กรณีนี้เด็กยังไม่มีวุฒิภาวะ แถมเป็นลูกศิษย์ของตัวเองด้วยซึ่งโทษของความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีแค่ 2 สถาน คือไล่ออกกับปลดออก ทั้งนี้ บทบาทของฉก.ชน.จะทำงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ตำรวจและนักจิตวิทยา เราไม่ได้มุ่งเรื่องกฎหมายเป็นหลัก แต่คำนึงถึงชีวิตของเด็กเป็นสำคัญ พฤติกรรมของเด็กจะเป็นตัวส่งสัญญาณการขอการรับความช่วยเหลือ อย่างกรณีนี้สะท้อนถึงเด็กขาดความรักอย่างรุนแรงซึ่งอาจเกิดจากการที่แม่แต่งงานใหม่ เมื่อเด็กเคยมีแฟนและอาจเคยมีความสัมพันธ์กับแฟนมาก่อน พอมีผู้ใหญ่เข้ามาเด็กจึงอาจคิดว่าอบอุ่น และยังสามารถเลี้ยงดูได้ด้วย เด็กจึงอาจสมยอม กรณีนี้จึงต้องบำบัดคือจัดระบบความคิดของเด็กใหม่ซึ่งต้องใช้กระบวนการทางจิตวิทยา สิ่งที่ฉก.ชน.จะทำคือมุ่งเยียวยาสภาพจิตใจนักเรียน ส่วนเรื่องคดีอาญา ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเรื่องวินัย ก็ให้ว่ากันไปตามกระบวนการ ฉะนั้นจึงได้มอบหมายฉก.ชน.ในพื้นที่ไปพูดคุยกับแม่ของเด็กว่าต้องการให้เด็กไปตั้งต้นชีวิตใหม่หรือไม่โดยเราจะปกปิดข้อมูลปลายทางไม่ให้รู้ว่าเด็กย้ายไปด้วยสาเหตุอะไร ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับแม่เด็ก เพราะแม่เด็กอาจจะระแวงได้ว่าเป็นฝ่ายเดียวกับตำรวจหรือไม่

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image