จะเป็นต่อและจะอยู่ต่อ โดย:ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อตอนที่กองทัพจะเอารัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกจากความเป็นรัฐบาล ก็มีการร่วมมือกับผู้นำพรรคประชาธิปัตย์จัดการชุมนุมโดยเรียกตัวเองว่า กปปส. ปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลขึ้น ขณะเดียวกันก็ประกาศ “เกียร์ว่าง” ไม่รับคำสั่งและการบังคับบัญชาจากรัฐบาล เมื่อมีการ “ปิดกรุงเทพฯ หรือ Shutdown Bangkok นำกองกำลังเข้าปิดถนนหนทาง สถานที่ราชการ สร้างสถานการณ์ “ไม่มีขื่อไม่มีแป” ให้กับบ้านเมือง

กองทัพประกาศตนเป็นกลาง เป็นอิสระจากรัฐบาล ในสถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลไหนในโลกก็อยู่ไม่ได้ เพราะเท่ากับกองทัพไปร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิเสธอำนาจตามกฎหมายของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน เท่ากับเป็นการปูทางให้ทหารเข้าทำการยึดอำนาจอธิปไตยจากปวงชนชาวไทย แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็น “องค์อธิปัตย์” มีอำนาจสูงสุดลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช.ได้เอง
มีผลเช่นเดียวกันกับพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา โดยไม่ต้องทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เช่น ร่างพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกา เพราะในขณะนั้นตนเองเป็นผู้ถืออำนาจอธิปไตย

เมื่อมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ก็ยังให้อำนาจหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจสูงสุดได้ และมีการใช้ค่อนข้างพร่ำเพรื่อโดยอ้างความรวดเร็ว ถ้าปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายที่ได้วางไว้เพื่อความโปร่งใส รอบคอบ ป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ การลัดวงจรโดยการใช้มาตรา 44 ก็เป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อการประพฤติมิชอบในการจัดซื้อจัดจ้าง ในการอนุมัติการก่อสร้าง โดยไม่ได้มีที่ปรึกษาทางเทคนิคทางการเงิน
การไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งรัฐบาลก่อนได้ตราไว้เพื่อความโปร่งใส ป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ สามารถตรวจสอบได้ทั้งก่อนและหลังโครงการดำเนินการจนเสร็จสิ้น ex ante and ex post (เป็นภาษาละติน แปลว่า ก่อนและหลัง) เมื่อรัฐบาลนี้พ้นไปคงจะมีการตรวจสอบโดยองค์การอิสระมากมายหลายเรื่องในการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือการแต่งตั้ง

ข่าวคราวที่สร้างความกังขาสงสัยในหมู่ประชาชนมีหลายเรื่อง ไม่ต่างกับกรณีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น การจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องตรวจระเบิดซึ่งพิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้

Advertisement

การจัดซื้อบัลลูนที่ไม่มีประโยชน์ การจัดซื้อเรือดำน้ำ การขายที่มรดกที่ต้องไปจ่ายเงินที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น การเอาเงินหลวง 300 ล้านไปเข้าบัญชีส่วนตัว การตั้งบริษัทในกรมทหาร การเลือกจีนเป็นผู้ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย โดยไม่มีการประมูล โดยอ้างว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณจีนที่รับรองรัฐบาลของคณะรัฐประหารเป็นประเทศแรก

และการจัดการยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่แก๊สธรรมชาติในอ่าวไทยมีไม่พอแล้ว ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาแพงและมีสัดส่วนการใช้สูงกว่าร้อยละ 70 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพความมั่นคงของไฟฟ้า นอกเหนือไปจากราคาแพงกว่าการใช้ถ่านหิน ซึ่งขณะนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถลดและขจัดมลพิษลงได้จนเกือบหมดแล้ว อย่างโรงไฟฟ้าลิกไนต์ที่แม่เมาะและที่เมืองหงสาแขวงไชยะบุรี ซึ่งห่างจากพรมแดนไทยเพียง 10 กม.เท่านั้น อีกทั้งลมก็พัดมาฝั่งไทยก็ไม่มีปัญหาอะไร คนไทยไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป คนไทยถูกเอ็นจีโอปลุกปั่นง่ายเพราะไม่ใช้เหตุใช้ผล มีความระแวงรัฐบาลเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่สนใจความเสียหาย คิดเสียว่าความเสียหายเป็นความเสียหายของรัฐบาลไม่ใช่ความเสียหายของตน

ความเบื่อหน่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอยู่ถึง 6 ปี เพราะเป็นพรรคแรกที่ได้รับเลือกตั้งซ้ำและมีเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด absolute majority ในสภา ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงที่เป็นฝ่ายประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนชั้นกลางระดับสูงที่มีเสียงดังในกรุงเทพฯและปักษ์ใต้ นำโดยผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ โดยการสนับสนุนจากทหาร ร่วมกันเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์ เป็นเงื่อนไขให้ทำการปฏิวัติรัฐประหาร เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย ด้วยการ “คว่ำบาตร” การเลือกตั้ง เพียงเพราะตนมั่นใจว่าตนจะแพ้การเลือกตั้ง

Advertisement

ประเทศใดก็ตาม ถ้าพรรคฝ่ายค้านรู้ว่าตนจะแพ้การเลือกตั้งแล้วทำการคว่ำบาตรการเลือกตั้งโดยการสนับสนุนของกองทัพอยู่เบื้องหลัง ประชาธิปไตยก็จะดำรงคงอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้แม้แต่ประธานที่ปรึกษาพรรคก็ออกมาแสดงอย่างเปิดเผยว่าตนไม่เห็นด้วย จะเป็นประวัติด่างพร้อยของพรรคประชาธิปัตย์ตลอดไป นอกเหนือจากการเข้าไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

การเสวยอำนาจของรัฐบาล คสช. ทำให้หัวหน้า คสช.ลืมคำมั่นสัญญาประชาคมเมื่อเข้าทำการปฏิวัติรัฐประหารว่าจะเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านจนกลายเป็นความขัดแย้งนอกสภา

แกนนำพรรคประชาธิปัตย์แม้จะอ้างว่ากระทำในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ การ “สมรู้ร่วมคิด” กันระหว่าง คสช. กรธ. สภาปฏิรูป และ สนช. เพราะทุกคนได้ประโยชน์จากการลากยาวระบอบเผด็จการทหารที่สถาปนาขึ้นมาหลังการทำรัฐประหาร โดยปราศจากการต่อต้านจากประชาชน
ความคิดหรือสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนก็เปลี่ยนไป กลายเป็นว่าแม้จะมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พรรคพวกของตนซึ่งเกลียดชังประชาธิปไตยอยู่แล้วช่วยกันร่างขึ้น ตนก็ยังอยากอยู่ในอำนาจต่อไป

แทนที่จะตั้งใจส่งต่ออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินให้กับรัฐบาลซึ่งมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นตัวแทนของประชาชน

การที่รัฐบาล คสช.คิดจะอยู่เป็นรัฐบาลต่อไปกับไม่คิด ย่อมจะมีความรู้สึกนึกคิดและวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่แตกต่างกันออกไป ถ้ามีพฤติกรรมที่บ่งบอกว่าคิดที่จะอยู่ต่อไปหลังเลือกตั้ง จะทำให้อยู่ไม่ได้ก่อนจะมีเลือกตั้ง

เมื่อตนคิดจะอยู่ต่อแม้จะยังไม่พูดออกมาชัดเจน แต่การออกหาเสียงโดยการใช้ทรัพยากรทั้งในด้านการเงินสิ่งของวัสดุครุภัณฑ์ ยานพาหนะ พลังงาน น้ำมันและบุคลากร ข้าราชการของรัฐในการดำเนินการคล้ายกับการหาเสียง ย่อมเป็นการผิดจรรยาบรรณทางการเมืองอย่างร้ายแรง ซึ่งรัฐบาลในยามปกติทำไม่ได้ เพราะกฎหมายห้ามเอาไว้ แต่เผด็จการทหารโดยคำจำกัดความจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่จะประหารชีวิตคน อย่าว่าแต่เอาคนไปกักขังปรับทัศนคติหรือที่ “คอมมิวนิสต์” เรียกว่า เอาไป “สัมมนา” หรือเอาไป “ล้างสมอง” เพื่อสร้างประเทศให้เป็นอาณาจักรแห่งความเกรง “กลัว” โดยการขู่ว่ามี “สปาย” หรือ “สายลับ” คอยจับตาควบคุมประชาชนทุกฝีก้าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทภาคเหนือและภาคอีสาน เมื่อทำนานๆ เข้าก็ยินดีกับอำนาจ อยากจะอยู่ต่อไป แม้หลังเลือกตั้งการเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่อยากเป็นรัฐบาลต่อ ย่อมจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคการเมืองและนักการเมืองของพรรคใหญ่ ส่วนนักการเมืองในพรรคเล็กและพรรคขนาดกลางนั้นสามารถ “ซื้อ” ได้อยู่แล้วทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยมีสภาสูงหรือวุฒิสภารองรับไว้อยู่

แต่รัฐธรรมนูญที่พรรคพวก คสช.ช่วยกันเขียนขึ้นเพื่อขอประชามติครั้งนี้ ถึงแม้ว่าบทเฉพาะกาลซึ่งมีกำหนดให้ใช้ถึง 5 ปี มิได้กำหนดไว้ให้สมาชิกวุฒิสภาเข้ามาร่วมลงมติในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี และ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงินด้วย ดังนั้นแม้ว่าจะมีการส่งต่อเพื่อให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อไป ก็ไม่น่าจะบริหารประเทศได้ ถ้าไม่รวมพรรคประชาธิปัตย์เข้าไว้ในรัฐบาล

รัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2520 อยู่ได้กว่า 8 ปี ก็เพราะกองทัพคอยกำกับให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมรัฐบาลลงลายมือชื่อ เสนอตัวนายกรัฐมนตรี และเมื่อนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญานตนเข้ารับตำแหน่งแล้วก็ไม่ต้องขอมติไว้วางใจจากรัฐบาล สามารถบริหารประเทศไปได้เลยโดยใช้งบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีฉบับเก่า

จนเมื่อพ้น 1 ปีไปแล้ว เมื่อจะต้องเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี จึงค่อยขอมติผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งทั่วไปจึงไม่มีคู่แข่ง เป็นนายกรัฐมนตรีไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีกล่าวปฏิเสธรับเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งทั่วไปว่า

“ผมพอแล้ว” นั่นแหละ หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด จึงจะมีสิทธิได้รับเลือกจากพรรคการเมืองต่างๆ ที่เข้าร่วมรัฐบาลให้เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่ครบอายุของสภาผู้แทนราษฎรก็เกิดรัฐประหารขึ้น คณะรัฐประหารจึงตั้งพลเรือนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคั่นจังหวะ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีการหนุนหลังพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมกัน จนมีเสียงข้างมากสนับสนุนให้ ผบ.ทบ.ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดกรณีพฤษภาทมิฬขึ้นในปี 2535 ด้วยเวลาเพียงไม่นาน

การส่งต่ออำนาจเพื่อการเป็นต่อไปหลังการเลือกตั้งทั่วไปในยุคนี้ หลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 40 ปี แม้ว่าการเมืองไทยจะไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าไปไหนเลยก็ตาม แต่พัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคมและการศึกษาของประชาชนนอกกรุงเทพฯได้ก้าวหน้าไปมาก

อีกทั้งประเทศเพื่อนบ้านทั้งฝั่งตะวันตก เช่น ประเทศพม่าและบังกลาเทศ กับกลุ่มประเทศอินโดจีน ก็สามารถสถาปนาระบบการเมืองที่เข้มแข็งและมีเสถียรภาพขึ้นได้

ก็ยังเหลือประเทศไทยเท่านั้นที่ยังไม่สามารถพัฒนาระบอบการเมืองที่เข้มแข็ง มั่นคงและมีเสถียรภาพได้ เพราะผู้นำกองทัพในยุคต่างๆ รวมทั้งพรรคการเมืองยังไม่พัฒนาความคิด ขาดวิสัยทัศน์และไม่ให้ความร่วมมือกับประชาชนในการสถาปนาและพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งให้เกิดขึ้นได้

พรรคการเมืองเองก็มุ่งแต่จะเป็นรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาลเท่านั้น ถ้าตนไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลก็จะมุ่งทำลายกันทุกวิถีทาง แม้กระทั่งปฏิเสธขบวนการประชาธิปไตยโดย “คว่ำบาตร” การเลือกตั้ง จัดตั้งขบวนการนอกสภากระทำการทุกทางที่ผิดกฎหมาย โดยการวางเฉยของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง โดยอ้างว่าตนจะไม่เข้าไปยุ่ง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จะวางตนเป็นกลางเพราะเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการเมือง เป็นการชุมนุมที่สงบเปิดเผยปราศจากอาวุธซึ่งไม่เป็นความจริง

เพราะมีกองกำลังติดอาวุธนำโดยพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ใช้กำลังเข้าปิด “พระนคร” และสถานที่ราชการทุกแห่ง ห้ามข้าราชการเข้าทำงาน ทำให้ระบบเศรษฐกิจระบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นง่อย ทำงานไม่ได้เพราะถูกบังคับฝืนใจด้วยกำลังอาวุธอย่างชัดเจน การพัฒนาการเมืองจึงไม่เกิดเช่นประเทศอื่นๆ
เหตุการณ์ข้างหน้านั้นก็ไม่แน่นักว่าจะไม่เกิดซ้ำรอยอีก หากผู้นำกองทัพยังอยากเป็นต่อ ยังอยากอยู่ต่อ แต่

ความจริงอย่างหนึ่งในทางรัฐศาสตร์ก็คือไม่มีผู้ใดสามารถสร้างสถานการณ์ซ้ำรอยได้ ไม่มีผู้นำผู้ใด “หยุดกงล้อประวัติศาสตร์” ได้ กงล้อประวัติศาสตร์ย่อมหมุนไปข้างหน้าต่อไป

ไม่มีผู้ใดหยุดโลกไม่ให้หมุนไปข้างหน้าได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image