เกาหลีเหนือ โดยนิธิ เอียวศรีวงศ์

เมื่อไรก็ตาม ที่เราคิดว่าใครเป็นบ้า ไม่อาจใช้เหตุผลตามปกติแลกเปลี่ยนกับเขาได้เสียแล้ว เมื่อนั้นเรากำลังหาข้อแก้ตัวที่จะละเมิดสิทธิของเขาอย่างไรก็ได้ นับตั้งแต่ทุ่มกำลังใช้ความรุนแรงกับเขาได้เต็มที่ สังหารหรือลอบสังหารเขายังได้

ผมกำลังพูดถึงผู้นำตระกูลคิมของเกาหลีเหนือ อย่างน้อยก็นับตั้งแต่รุ่นพ่อเป็นต้นมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน ที่ปรปักษ์ซึ่งมีสหรัฐเป็นผู้นำ สร้างภาพของคนเสียสติให้แก่ผู้นำ แล้วสหรัฐก็ประกาศนโยบายที่ก้าวร้าว รุนแรงต่อเกาหลีเหนือ ในฐานะรัฐหมาบ้าที่ไม่อาจสัมพันธ์กันด้วยมาตรการอันยอมรับกันเป็นสากลได้

ผมไม่ได้หมายความว่าเกาหลีเหนือไม่ได้แสดงท่าที หรือสะสมอาวุธและกำลังรบ ในลักษณะที่อาจเป็นภัยต่อสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งหากเกิดสงครามขึ้นจริง ก็ย่อมกระทบต่อเอเชียตะวันออกทั้งหมด และหากเป็นการโจมตีกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ย่อมกระทบต่อสันติภาพทั่วโลกอย่างแน่นอน

แต่ท่าทีอย่างนี้ของเกาหลีเหนือไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนอธิบายหรือเข้าใจไม่ได้ กลายเป็นข้อยกเว้น ที่ไม่มีทางจะจัดการอย่างใดได้ นอกจากวิธีการยกเว้นสำหรับคนยกเว้น คือความรุนแรงเด็ดขาดเพื่อบดขยี้อสุรกาย

Advertisement

และลืมหรือทำเป็นลืมไปว่า นอกจากคิม จองอึนแล้ว เกาหลีเหนือยังมีประชากรอีก 25 ล้านคน

อดีตในความจดจำของคนเกาหลี ทั้งเหนือและใต้ ก็คือเกาหลีถูกล้อมกรอบด้วยอำนาจที่เหนือกว่าตนในทุกทาง ต้องอาศัยวิธีการหลายวิธีเพื่อประคองตัวให้รอดปลอดภัยจากอำนาจที่คุกคามตนในทุกทางนั้น เกาหลีเลือกจะสยบยอมต่ออำนาจทางอารยธรรมของเพื่อนบ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ

Advertisement

ผู้สถาปนาอาณาจักรโชซอนในศตวรรษที่ 14 เป็นแม่ทัพซึ่งราชวงศ์โกรีโอส่งไปรุกรานจีนในต้นราชวงศ์หมิง ตัดสินใจนำทัพกลับมายึดอำนาจเสียเอง แล้วสถาปนาราชวงศ์ใหม่และอาณาจักรโชซอนขึ้น รับกระแสลัทธิขงจื๊อใหม่จากจีน ทำการปฏิรูปปรับเปลี่ยนเกาหลีตามแนวลัทธิขงจื๊อใหม่ ลดความสำคัญของพุทธศาสนาซึ่งเน้นการแสวงหาความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ หันกลับมาสร้างระบบปกครองและสังคมที่ให้ความสำคัญแก่โลกนี้ตามคำสอนของลัทธิใหม่จากจีน

นับตั้งแต่นั้น เกาหลีถูกถือว่าเป็น “รัฐส่วนใน” ของอารยธรรมจีน ซึ่งจักรพรรดิจีนมีหน้าที่ต้องปกป้องมิให้ถูกอนารยชนครอบงำ หรือคุกคาม

อนารยชนดังกล่าวอยู่ทางตะวันออกคือญี่ปุ่น ซึ่งส่ง “โจรสลัด” มารังควาญชุมชนตามชายฝั่งทะเลเสมอมา จนในที่สุดก็ยกทัพใหญ่หมายมุ่งจะยึดเกาหลี

สำนึกของคนเกาหลีจึงระแวดระวังโลกภายนอก ซึ่งแม้เป็นมิตรก็เป็นมิตรแบบ “ลูกพี่” หรือหากเป็นศัตรู ก็มีศักยภาพจะคุกคามความปลอดภัยได้มาก

และดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เมื่อจีนเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 19-20 ญี่ปุ่นก็ผนวกเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ คนเกาหลีต้องตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่นสืบมาสองถึงสามชั่วอายุคน ความจดจำยังเหลือตกทอดอย่างชัดเจนในคนปัจจุบัน โดยเฉพาะความจดจำเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายภายใต้จักรวรรดิญี่ปุ่น
หลังสงครามเกาหลี ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตมนุษย์มีมหาศาลเกินกว่าที่โลกควรยอมรับได้ เกาหลีก็แยกประเทศกันอย่างเป็นทางการจนทุกวันนี้ ทิ้งญาติมิตรจำนวนมากให้อยู่กันคนละเขตแดนที่ไม่มีช่องจะติดต่อกัน ท่ามกลางสำนึกของผู้คนทั้งสองฝั่งถึงความผูกพันที่มีต่อกันมายาวนานในประวัติศาสตร์

ทั้งสองเกาหลีเลือกนโยบายสยบยอมต่อจักรวรรดิใหญ่ของโลก เพื่อผนวกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “อำนาจอารยธรรม” ของทั้งสองจักรวรรดิ เกาหลีใต้เลือกจะอยู่ในจักรวรรดิ “เสรีนิยม” และประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ จนกลายเป็นแรงขับที่สำคัญอันหนึ่งของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

เกาหลีเหนือเลือกจะอยู่ในจักรวรรดิ “สังคมนิยม” และในบัดนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาระบบป้องกันตนเองที่มีประสิทธิภาพ จนกระทั่งมหาอำนาจทุกประเทศในโลก ต้องคิดอย่างหนักหากจะเปิดสงครามกับเกาหลีเหนือ

และเรามักจะลืมไปเสมอว่า มหาอำนาจที่ต้องคิดอย่างหนักนั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะสหรัฐ แต่รวมจีนด้วย แม้ถึงที่สุดแล้ว ทั้งสหรัฐและจีนสามารถถล่มเกาหลีเหนือให้แหลกเป็นจุณได้ แต่ก็ต้องแลกกับความสูญเสียอย่างหนักก่อนจะเอาชนะ ในทุกวันนี้ เกาหลีเหนือปลอดภัยจากการคุกคามของสหรัฐ ไม่ใช่เพราะเงาทะมึนของจีนซึ่งอยู่เบื้องหลังเสียแล้ว แต่เพราะเกาหลีเหนือเองสามารถทำความเสียหายอย่างหนักให้แก่สหรัฐได้ด้วย
ประวัติศาสตร์สอนให้คนเกาหลีจดจำว่า ความคุ้มครองของมหาอำนาจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะมหาอำนาจเสื่อมอำนาจได้ และเพราะมหาอำนาจอาจเลือกจะแลกเกาหลีกับความปลอดภัยของตนเองก็ได้ เกาหลีเหนือเลือกประกันความปลอดภัยของตนเองด้วยอาวุธนิวเคลียร์และจรวดข้ามทวีป เกาหลีใต้เลือกความเป็น “เสือ” ทางเศรษฐกิจที่มหาอำนาจจะปล่อยให้พังสลายไปไม่ได้ เพราะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างมโหฬาร

รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนืออาจล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ, สังคม และการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ปัจเจกชนเกาหลี แต่รัฐบาลเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่รัฐทางทหาร อย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลเกาหลีชุดใดในประวัติศาสตร์เคยทำได้มาก่อน

ทั้งหมดนี้คือการเลือกด้วยเหตุผล อาจเป็นทางเลือกที่ผิด แต่ก็ไม่ได้ผิดเพราะความวิกลจริต มีเงื่อนไขปัจจัยอยู่มากที่ทำให้ทางเลือกนี้มีเหตุผลรองรับอยู่พอสมควร ถ้าผู้นำเกาหลีเหนือไม่ถูกตราเสียก่อนว่าวิกลจริต การเปิดทางเลือกอื่นก็เป็นไปได้ และจะเป็นไปได้ผ่านการเจรจาที่ยอมรับความเสมอภาคของคู่เจรจาเท่านั้น การข่มขู่คุกคามและประณามไม่เปิดทางเลือกใดๆ ให้แก่เกาหลีเหนือ และแก่โลกทั้งโลก นอกจากสงคราม อย่างที่องค์กรพุทธชื่อ Rissho Kosei-kai ในญี่ปุ่นได้เสนอไว้ (ดู “Are Cause and Effect Coming Full Circle? What Do We Do Now?” ใน Seeds of Peace, XXXIV, 1)

ท่าทีของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในการเปิดทางให้แก่ความร่วมมือกันในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว เป็นท่าทีซึ่งทั้งโลกควรสนับสนุน ในทางตรงกันข้าม ท่าทีของสหรัฐ (โดยเฉพาะของประธานาธิบดี) เป็นสิ่งที่ชาวโลกควรคัดค้าน เพราะนั่นคือการปิดกั้นการเจรจาใดๆ ที่พึงเกิดขึ้น ด้วยข้ออ้างทำนองว่าเราไม่อาจเจรจากับมนุษย์จรวด หรือรัฐหมาบ้า ซึ่งมีผู้นำเสียสติ เพราะท่าทีเช่นนี้ย่อมนำไปสู่สงครามอย่างไม่มีทางเลี่ยง

ไม่ควรมีใครหรือประเทศใด ปิดทางเลือกสันติภาพของโลกลงเช่นนี้อีก

ยิ่งเกาหลีเหนือถูกคุกคามมากเท่าไร ก็เท่ากับช่วยเสริมสร้างให้อำนาจเผด็จการในเกาหลีเหนือมั่นคงแข็งแรงขึ้นเท่านั้น และบังคับให้ผู้นำต้องใช้ความสำเร็จสุดยอดเพียงอย่างเดียวของตนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และในประเทศ ตรงกันข้าม เมื่อไรที่เกาหลีเหนือเริ่มวางใจว่าภัยคุกคามประเทศตนลดน้อยลง เมื่อนั้นก็จำเป็นต้องหันมาตอบสนองความคาดหวังของประชาชนภายในประเทศมากขึ้น และหนทางที่จะทำได้คือยอมรับกติกาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน

นอกจากระเบิดนิวเคลียร์แล้ว เกาหลีเหนือจะมีอะไรที่ต้องสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจำเป็นต้องหาทางระงับความขัดแย้งระหว่างประเทศด้วยวิธีอื่นมากกว่าสงครามนิวเคลียร์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image