แตก โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

แตก ทั้ง “รูปธรรม” “นามธรรม” กันเลยทีเดียว สำหรับรัฐบาล

รูปธรรมก็คือ อ่างบัวในทำเนียบรัฐบาล ที่ถูกรถของตำรวจถอยหลังชนแตกยับ ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งวุ่นขนไปทิ้ง หา “โคมแดง” มาแขวนประตูทำเนียบ จุดธูป 36 ดอกไหว้ฟ้าดินเร่งด่วน

แก้เคล็ดและลางร้าย

ส่วนนามธรรมคือ กรณี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปกล่าวพาดพิงกรณีการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรอย่างรุนแรง ระหว่างงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์

Advertisement

แม้ นพ.ธีระเกียรติจะยอมขอโทษที่เสียมารยาทไปพาดพิง พล.อ.ประวิตรแล้วก็ตาม

แต่การที่ พล.อ.ประวิตร “เจ็บคอ” ไม่หาย และไม่ยอมพูดถึงกรณีดังกล่าว ทำให้ถูกมองว่า “ไม่จบ”

ด้วยคำพูดของ นพ.ธีระเกียรติ ทั้ง conscience (ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี)

Advertisement

ทั้ง “ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว”

มันเสียดแทงหัวใจ ถือเป็นการกระทืบซ้ำ ให้อภัยกันไม่ได้ง่ายๆ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามจะยืนยันว่า ครม.ไม่ร้าวจากกรณีดังกล่าว

ซึ่งหลายคนก็เห็นด้วย เพราะไม่ร้าว

แต่โดย “นามธรรม” ครม.แตกไปแล้ว

และกำลังรอดูชะตากรรม นพ.ธีระเกียรติในอนาคตอันใกล้นี้ว่าจะเป็นอย่างไร

ส่วน พล.อ.ประวิตรนั้น อย่างไรเสีย พล.อ.ประยุทธ์ก็คงประคับประคองให้เป็นหลักของรัฐบาลและ คสช. ต่อไป

แม้รู้ว่าจะยากอย่างยิ่งก็ตาม

เพราะ “มรสุม” ซัดใส่ตลอด

เรื่องที่ไม่น่าเกี่ยว แต่ก็เข้ามาเกี่ยวพันจนได้

อย่างการแถลงดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย (ซีเอสไอ) เดือนธันวาคม 2560 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

พบว่าอยู่ที่ระดับ 52 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนน

ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงการสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ที่ระดับ 53 คะแนน

เมื่อสอบถามผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐ จะต้องจ่ายเงินพิเศษหรือเงินใต้โต๊ะ เพื่อให้ได้สัญญาหรือไม่

ปรากฏว่ายังมีร้อยละ 24 ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ซึ่งจ่ายเฉลี่ยที่ร้อยละ 5-15 ของเม็ดเงินโครงการ

ประเมินเป็นมูลค่าประมาณ 100,000-200,000 ล้านบาท

หากดู 3 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 ที่รัฐบาลและ คสช.เข้ามาทำงาน

เคยมีคะแนนถึง 56 ปัจจุบันเหลือ 52 คะแนน

ถือว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยเริ่มอยู่ในภาวะขาลง

โดยกลุ่มตัวอย่าง มองสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

เพราะกฎหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต

กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก

ขาดกลไกการกำกับดูแลกิจการหรือตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ

และความล่าช้าหรือยุ่งยากของขั้นตอนในการดำเนินการของทางราชการ

โดยรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด ได้แก่ การให้สินบนของกำนัลหรือรางวัลต่างๆ

ซึ่งพอมาถึงตรงนี้ กรณีนาฬิกาหรู ก็เป็น “ตัวอย่าง” ความอิหลักอิเหลื่อของรัฐบาลและ คสช. ที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่รัฐบาลและ คสช.ได้รับการยอมรับและถูกตั้งความหวังเอาไว้มากที่สุดก็คือ “ปราบโกง”

และรัฐบาล-คสช.ก็อวดเรื่องนี้มาตลอด

ทั้งรัฐธรรมนูญปราบโกง

ทั้งการชูการต่อต้านการทุจริตถือเป็นวาระแห่งชาติ

มีการตั้งศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่ใช้อำนาจมาตรา 44 ลุยโกงและย้ายข้าราชการกันยกใหญ่

การปราบทุจริตควรต้องดีขึ้น

แต่แล้วไฉน ทำไปทำมา คะแนนปราบโกงถึงลดลง

แถมนับวันยังพูดถึงบางกรณีไม่เต็มปาก และยังมีการแฉโพยกันเองอีก

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจาก “ภายนอก” เลย

แต่เกิดมาจาก “ภายใน” ทั้งสิ้น

และสะท้อนออกมาด้วยการ “แตก” ทั้งรูปธรรมและนามธรรมดังกล่าว

……………….

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image