…มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “การเมือง” ค่อยๆ เคลื่อนสู่การต่อสู้ระหว่าง “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” ใน “อัตราเร่งของความร้อนแรงสูงขึ้นเรื่อย” ด้วยเกมรุกที่ “ประชาธิปไตย” ถูกไล่ชิงพื้นที่ไปแทบตกขอบกระดาน เริ่มพลิกกระมาเป็น “เผด็จการ” กลับเป็นฝ่ายตั้งรับ ขณะที่ “เผด็จการ” ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “ดิ้นสู่สุดฤทธิ์” ซึ่งทำให้ความเป็นไปนับแต่นี้ มีความน่าสนใจยิ่ง ในมุมที่ว่า “จะข้ามพ้นการเผชิญหน้าที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงได้อย่างไร”
…เมื่อ “โครงสร้างอำนาจ” ที่ถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่ ด้วย “กฎหมาย” ทั้ง “กฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญ” และ “กฎหมายลูก” ที่เปิดทางให้ “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” ซึ่งเป็น “กลไกรับใช้อำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง” เข้ามามีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศได้เหนือกว่า “นักการเมืองจากการเลือกตั้ง” ที่ “ศรัทธาในระบบที่ใช้การตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่เป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศ” หากจะฟื้นคืนระบอบที่เอื้อต่อการปฏิบัติตามอุดมการณ์ดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งต้องวางยุทธศาสตร์ไปในทางทำให้เกิด “การแก้ไขกฎหมายเหล่านี้” ซึ่งเป็นภารกิจที่ละเอียดอ่อนยิ่ง
…จากการที่วางฐานมา 4 ปีใน “กลไกที่เป็นตัวขับเคลื่อนอำนาจรัฐ” เท่ากับแต่ละคน “ฝังราก หยั่งลึก” ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต้อง “ขุดราก ถอนโคน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แรงต้านที่จะเกิดขึ้นน่าจะก่อความยุ่งยากไม่น้อย ด้วย “อำนาจ” นั้น มักนำมาซึ่ง “ผลประโยชน์” และแม้จะเป็น “อำนาจเพียวๆ” ก็ยังหอมหวาน ได้มาแล้วมีแต่ต้องดิ้นรนกันทุกวิถีทาง เพื่อรักษาไว้ หากประเมินว่าจะถูก “ใคร” หรือ “อะไร” มาทำให้สูญเสียไป แรงต่อต้านจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
…แม้ประวัติศาสตร์จะชี้ให้เห็นว่า หาก “ประชาชน” ต้องการ ที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็จะต้อง “ถูกทำให้เปลี่ยนไป” เพียงแต่หมายถึง “พลังที่พร้อมเพรียงกันของประชาชาชน” ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด แต่ต้องชัดเจนว่าเป็น “กระแสของเสียงส่วนใหญ่” ซึ่งหากมอง “ความเป็นไปขณะนี้” พลังแห่งความพร้อมเพรียงยากจะเกิด “สังคมไทยถูกทำให้ขัดแย้ง แตกแยกเกินกว่าจะละอคติมาเห็นพ้องต้องกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้”
…ด้วยเหตุนี้ แม้ “ผู้นิยมประชาธิปไตย” เหมือนจะมีโอกาสรุกกลับ แต่ช่างเป็น “โอกาสที่ผิวเผิน” และยังให้ความรู้สึกว่า “ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องฟันฝ่า” จะทำอย่างไรให้มีพลังพอที่จะแปรเปลี่ยน ท่ามกลาง “กฎหมาย” และ “กลไกอำนาจ” ที่ไม่เพียงไม่เอื้อให้ ยังเป็น “ปราการด่านขวาง” สำคัญที่ต้องใช้พลังมากมายในการฝ่า ขณะที่ แทบมองไม่เห็นว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะไปเอาพลังมากมายนั้นมาจากไหน
…หนทางเดียวที่เป็นไปได้ คือ “พรรคการเมือง” ต้องมีสำนึกร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวว่าต้องร่วม “ขจัดสิ่งกีดขวางประชาธิปไตย” ซึ่งเป็น “ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยคิดถึง “การแข่งขัน” เพราะหาก “ระบบยังไม่เป็นประชาธิปไตย” อำนาจวาสนาของ “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ก็เป็นเพียง “น้ำใต้ศอก” ที่มีแต่ “สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจกับการเสพ” ยกเว้นแค่ว่า “การเมืองเพื่อประชาชน” จะเป็นเพียง “คำพูดเพ้อเจ้อไปให้ดูดี” แต่จริงแล้วเข้ามาทำงานการเมืองกันเพื่อ “ประโยชน์ส่วนตัว” หรือ “เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ” ถ้าเป็นแบบหลังแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองจากการเลือกตั้ง” แต่เห็นดีเห็นงามกับ “คนกลุ่มหนึ่งที่สถาปนาอำนาจให้ตัวเอง” ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพื่อ “ไม่คาดหวังกับสำนึก”
ชโลทร