เสือดำ เรื่องของเธอต้องมีความหมาย : โดย กนกศักดิ์ พ่วงลาภ

ผู้เขียนเคยรู้จักบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อ ร.ต.ต.สิทธิพร ทัพพะมาน เป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่มีความรู้ความสามารถมาก เคยกู้เรือที่จมลงด้วยพายุเกย์ในอ่าวไทยขึ้นมาได้หลายลำซึ่งทำตามหน้าที่ราชการ เพราะเขาชำนาญการดำน้ำแบบสคูบา ไดเวอร์ การดำน้ำลึกโดยสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ อีกทั้งชำนาญยุทธวิธีแบบผู้ปฏิบัติการใต้น้ำ และเขาชำนาญการเดินป่าเพราะโดยอาชีพที่ต้องทำงานเกี่ยวกับป่ามามาก ทั้งนี้ เพราะเขาเคยทำงานแถบป่าละอู

คนผู้นี้เป็นผู้ปิดทองหลังพระผ่านการทำงานยากๆ ที่ต้องทุ่มเทมานักต่อนัก โดยไม่หวังลาภยศและทำงานที่ไม่ออกชื่ออีกหลายอย่าง ที่น่าประหลาดเขาเคยได้รับไปป์ของอาจารย์ป๋วยเป็นที่ระลึก มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องบรรยายต่อว่าเขามีความสามารถเพียงใด ซึ่งต่อไปนี้ผู้เขียนขอเรียกว่า “ครู” เพราะได้ให้ความรู้แก่ผู้เขียนหลายประการ เป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่ง รวมทั้งเรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นความรู้เดิมที่ได้รับการสั่งสอนมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว

ครูเคยให้ความรู้แก่ผู้เขียนว่าคนที่จะเข้าป่าเพื่อไปดูสัตว์ป่า (ในป่าจริงๆ และเป็นการดูสัตว์เพื่อการศึกษาเท่านั้น) ต้องเตรียมตัวหลายอย่าง เพราะสัตว์มักจะกลัวคน ก่อนอื่นต้องอาบน้ำโดยไม่ฟอกสบู่ แปรงฟันโดยไม่ใช้ยาสีฟัน ซักเสื้อโดยไม่ใช้ผงซักฟอก ห้ามใช้น้ำหอม ห้ามใช้สิ่งที่มีกลิ่นต่างๆ ต้องทำอย่างนี้ล่วงหน้าก่อนเข้าป่าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามวันถึงหนึ่งสัปดาห์ เป้ กระเป๋าสิ่งของเครื่องใช้ที่ใส่ติดตัวไปต้องไม่ซักด้วยผงซักฟอก สิ่งของเครื่องใช้ที่นำติดตัวไปต้องไม่มีกลิ่น เพราะกลิ่นเหล่านี้เป็นกลิ่นแปลกปลอมสำหรับป่า

ถ้าเข้าป่าไปพร้อมกับกลิ่นเหล่านี้ จะไม่ได้เห็นไม่ได้ดูสัตว์ใดๆ เลย เพราะสัตว์ต่างๆ จะหนีไปเสียก่อน และแม้จะทำอย่างนั้นแล้ว การเข้าไปดูสัตว์ก็ต้องเข้าไปในทิศทางใต้ลม มิใช่เหนือลมเพราะสัตว์จะไม่ได้กลิ่นตัวของเขา

Advertisement

ผู้เขียนยังได้รับการสั่งสอนจากครูอีกว่าในป่ามีเจ้าป่าเจ้าเขา จะไปทำตัวรุ่มร่ามไม่ได้ ให้นึกถึงศีลธรรมต่างๆ ไว้แหละดี ป่าก็มีกฎของป่าเหมือนกับเมืองก็มีกฎของเมือง เมื่อเข้าป่าก็ต้องรักป่า ทะนุถนอมป่า ห้ามแตะต้องสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น จะเข้าไปดูสัตว์อะไรต้องรู้ทางของสัตว์ชนิดนั้นว่าเดินอยู่แถบไหน ทางเสือเสือย่อมเดินผ่าน ทางเก้งเก้งก็เดินผ่าน ทางกระทิงก็มีทางของมัน ทางของสัตว์อื่นก็มีทางของมันเป็นการเฉพาะ และก็มีทางร่วมของสัตว์ต่างๆ เช่น ทางที่จะเดินไปกินดินโป่งต่างๆ เป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ป่าเท่านั้นที่รู้ คนไม่ชำนาญทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ นั่นคือไม่มีทางพบ
สัตว์ป่า

นี่เป็นเรื่องที่ครูสอนจากประสบการณ์ให้ฟังมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว ผู้เขียนยังจำได้ ครูกล่าวว่าระวังกระทิงให้ดีลิ้นหยาบมากเพราะกระทิงเอาลิ้นตวัดหญ้าเข้าปากอยู่เสมอ เป็นวิธีการกินหญ้าของกระทิง ขนาดเคยมีคนหนีกระทิงหลบเข้าไปในช่องหิน กระทิงทำอะไรไม่ได้จึงเอาลิ้นเลีย เป็นแผลถลอกปอกเปิกอย่างใหญ่โตอย่างกับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปล้มตามถนนลูกรังเลยทีเดียว

แต่นั่นเป็นเพราะคนคนนั้นไปรบกวนกระทิงก่อนถ้าไม่ไปรบกวนแล้วสัตว์ป่าเหล่านี้มักจะหนีคนเสียมากกว่า

Advertisement

ที่เล่ามานี้เพราะจะแสดงให้เห็นว่า การเข้าป่า เพื่อจะเข้าไปดูสัตว์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำก็ได้ มีขั้นตอนละเอียดลออเหลือเกิน เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ถ้าไม่มีผู้ชำนาญชี้ช่องก็ไม่สามารถพบสัตว์ป่าได้ อย่าคิดว่าเข้าป่าไปแค่สองสามวันจะไปเจอเสือดำนั้น อย่าหวัง ถ้าไม่มีตัวช่วยอย่างอื่นซึ่งจะกล่าวมากไปนักก็ไม่ได้ อยู่เป็นเดือนยังไม่เจอเลยก็มี

จากข่าวที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ ก็น่าคิดว่าทำไมในประเทศเรานี้ ตัวช่วยมีเยอะจัง อะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้ด้วยง่ายดาย และยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกหรือไม่ และเกิดมาแล้วกี่ครั้ง เกิดที่ไหนบ้าง

ความหายากของเสือดำนั้น หายากขนาดไหน ตอบได้ว่า หายากมาก ความจริงเสือดำในประเทศไทยนั้นมีจำนวนแค่หลักร้อย บ้างว่าเหลือไม่เกิน 350 ตัว บ้างก็ว่าไม่เกิน 500 ตัว ทั้งภูมิภาคเอเชีย มีแค่หลักพันประมาณสองถึงสามพันตัว ซึ่งผู้ที่กล่าวอย่างนี้ล้วนแต่อยู่ในวงของการอนุรักษ์สัตว์ป่าทั้งสิ้น ซึ่งเข้าใจได้ว่าการประมาณจำนวนสัตว์ที่อยู่ในป่านั้นเป็นงานยากพอควร และในชีวิตคนคนหนึ่งที่ทำงานคลุกคลีกับป่าที่มีเสือดำอาศัยอยู่ ต่อให้รู้ว่าป่านั้นมีเสือดำอาศัยอยู่ชุกชุมก็กล่าวว่าใช้เวลาเป็นเดือนๆ ถึงจะเจอเสือดำสักตัว เพราะในความเป็นจริงเสือดำหายากกว่าเสือดาว

ปริมาณที่เทียบกันคือ ในการเกิดเสือดาวสามตัวจึงจะพบเสือดำหนึ่งตัว และการพบเจอก็เป็นไปตามอัตราส่วนนั้นด้วย และที่สำคัญเสือดำมีนิสัยสันโดษกว่าเสือดาว ว่องไวปราดเปรียวมากพบเจอได้ยาก

นั่นหมายความว่าถ้าไม่รู้ทางเดินของเสือดำเป็นอย่างดีแล้ว เข้าไปในป่าแค่สองสามวันหรือหนึ่งสัปดาห์แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเจอเสือดำ องค์ความรู้ในเรื่องทางเดินของสัตว์ต่างๆ นั้นเป็นของผู้ที่คุ้นเคยกับป่าแห่งนั้นๆ เป็นอย่างดี เพราะป่าแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน

เรื่องที่เป็นข่าวครึกโครมนั้น มีข้อสังเกตอยู่บ้าง และคนในวงกฎหมายต้องผ่านข้อสังเกตเหล่านี้ไปเสียก่อน ถึงจะทำอะไรต่อไปในทางกฎหมายได้ มิฉะนั้นแล้วอาจหลงทาง เสียเวลาหรือถูกหลอก

1.เสือดำมีน้อยมากผู้ถูกกล่าวหาหาพบในเวลาอันสั้นได้เพียง 1-2 วัน ได้อย่างไร ต้องค้นหาให้พบคำตอบ เพื่อการศึกษาและประโยชน์ในการอนุรักษ์ต่อไป ที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

2.ผู้ถูกกล่าวหาขนเครื่องไม้เครื่องมือในการล่า โดยผ่านการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร จริงๆ แล้วมีการตรวจหรือไม่ และมีระเบียบกฎหมายการตรวจสิ่งของเหล่านี้อยู่หรือไม่ เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามนั้นหรือไม่

3.ผู้ถูกกล่าวหาขนเครื่องไม้เครื่องมือในการล่า ผ่านหลายจังหวัด ตั้งแต่จังหวัดไหนถึงไหน หรือหาเครื่องไม้เครื่องมือในท้องถิ่นนั้น ถ้าขนมาจากจังหวัดอื่นเข้ามาในกาญจนบุรีได้อย่างไร โดยที่ไม่มีการตรวจพบก่อน

4.ผู้กระทำกระทำมากี่ครั้งแล้ว ตรวจสอบย้อนหลังการเข้าพื้นที่ได้หรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์คดี

5.ให้ตั้งสมมุติฐานว่ามีผู้ร่วมกระทำอีกหรือไม่ เพราะคณะนี้ไปถึงจุดสัตว์ป่าชุกชุมได้อย่างรวดเร็ว เพราะจากองค์ความรู้ที่มีจากผู้ชำนาญกล่าวว่าผู้ที่เข้าไปในป่าแม้เป็นพรานเองก็กลับออกมามือเปล่าได้เสมอๆ เพราะบางคนกล่าวว่าเดินป่าเป็นเดือนยังไม่เจอเสือดำเลย

6.มีการดองเกลือหนังสัตว์แสดงว่ามั่นใจมากว่าจะนำกลับออกมาได้ มีความมั่นใจมากขนาดนั้นได้อย่างไร มีความมั่นใจมากอย่างนั้นเพราะเหตุใด

7.ในบริบททั่วไปมีการขออนุญาตเข้าไปทำการศึกษาสัตว์ป่าในลักษณะอย่างนี้มากน้อยแค่ไหน ระเบียบในส่วนนี้รัดกุมดีหรือไม่ กรณีนี้เป็นกรณีทั่วไป หรือกรณีพิเศษ

ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้การดำเนินการทางกฎหมายต่อไปจะมีทิศทางชัดเจน และบรรลุวัตถุประสงค์อย่างที่สังคมยอมรับ หาไม่แล้วอาจเป็นที่คลางแคลงใจและทั้งยังเป็นการไม่ถอดบทเรียนเพื่อเป็นองค์ความรู้สำหรับการอนุรักษ์

การจากไปของเสือดำเป็นเรื่องใหญ่ของวงการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า และเป็นกรณีศึกษาที่คนทั้งโลกให้ความสนใจ เรื่องนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่ง

กนกศักดิ์ พ่วงลาภ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image