‘ต้อม รัชนีกร’ เปิดหมดเปลือกชีวิตรักสุดระทม ทั้งคิดฆ่าตัวตาย วางแผนหอบลูกหนีกลับไทย

เป็นนักแสดงที่สมัยหนึ่งเรียกว่าประความสำเร็จโด่งดังไม่น้อย แต่เรื่องราวความรักของ ต้อม รัชนีกร พันธุ์มณี กลับไม่ได้ประสบความสำเร็จไปด้วย โดยเธอได้เปิดใจในรายการคลับฟรายเดย์ ทางช่อง GMM25 ถึงเรื่องราวความรักตั้งแต่การแต่งงานครั้งแรกที่เธอเกือบเอาชีวิตไปแลก โดยเริ่มต้นจากการแนะนำของเพื่อน ที่ได้ใจเธอไปในตอนป่วยแต่ฝ่ายชายกลับมีความอดทนคอยเยี่ยมเยียนทั้งที่อยู่ไกลกันและคุยกันเสมอถึงแม้ว่าในเวลา 1 เดือนจะได้พบกันแค่ศุกร์เดียวก็ตาม หรือแม้กระทั่งความเจ้าชู้ของฝ่ายชาย เธอก็เชื่อมั่นว่าถ้ารักกันจริงเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้

“ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น เราอยากเอาชนะด้วย เจ้าชู้เหรอ ได้ งั้นเราต้องเอาให้อยู่ เรารู้ตั้งแต่คบแล้วค่ะ พอเราจับได้เค้าก็เลิกกับกิ๊กนั้นไป แต่เค้าก็ยังอยู่กับเรา เราให้โอกาสมาเรื่อยๆค่ะ” เธอเล่า

จน 3 ปีต่อมาในช่วงชีวิตที่โด่งดังสุดๆ เธอก็ไม่หวั่นแม้จะไม่ได้เป็นนางเอกเบอร์ต้นๆอีกต่อไปเมื่อเธอตัดสินใจแต่งงาน ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของคนแวดล้อม แม้กระทั่งพระที่ไปหาฤกษ์

ซึ่งแค่เข้าหอวันแรกเธอก็พบถึงความผิดปกติจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูและผนังตลอดเวลาราวกับบ้านจะพัง ทั้งๆที่เมื่อเปิดประตูไปแล้วก็ไม่พบใคร ไม่เพียงเท่านี้ เธอก็ว่าชีวิตหลังแต่งงานได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่อยู่ด้วยกันได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น โดยความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ เธอเริ่มรับบางสิ่งไม่ได้เกี่ยวกับสามี จนทุกวันนี้ก็ยังพูดยากว่าคืออะไร แต่ส่งผลให้เธอเริ่มควบคุม ขา มือ ไม่ให้สั่นทุกครั้งที่รู้ว่าสามีจะกลับเข้ากรุงเทพ

Advertisement

“มันไม่อยากเจออะ มันอยากหนีอย่างเดียว หลังจากที่อยู่ด้วยกันจริงๆ รู้สึกว่าอยู่กับคนแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

“มันมีบางสิ่งบางอย่างที่คิดว่าผู้หญิงหลายคนรับไม่ได้ ทั้งกิริยา การดูแลกัน เลยไม่อยากเจอ” จนถึงขั้นที่เธอต้องให้แม่เอาเสื้อผ้าไปไว้บ้านเพื่อนที่อยู่ด้านหลังพร้อมโกหกว่าเธอนั้นติดถ่ายละคร

ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ เพราะเริ่มมีอาการกินข้าวแล้วอยากอาเจียน รวมถึง นอนไม่หลับเป็นเวลา 4 วันเต็ม จนตัดสินใจไปหาจิตแพทย์

Advertisement

“หมอเค้าก็เจาะเลือดเราที่แขนก็ไม่มี ต้องเจาะที่คอ หมอบอกว่าคุณอยู่ได้ไง น้ำในตาคุณก็ไม่มี เลยถูกจับแอดมิตเลย”

กับปัญหาชีวิตคู่เธอก็ว่าได้พยายามพูดคุยถึงสิ่งที่เธอนั้นรับไม่ได้เกี่ยวกับสามีแต่ก็เหมือนจะแก้ไม่ได้ แม้แต่ชวนไปหาหมอด้วยกันเพื่อปรึกษาให้ชีวิตคู่ดำเนินต่อไป แต่สามีกลับไม่ให้ความร่วมมือ กลับมองว่าเธอป่วยส่วนตนนั้นไม่ เธอจึงตัดสินใจเลิก

“เราไม่ได้เจอกันแล้วแต่คุยโทรศัพท์กันมากกว่าว่า โอเคนะเราคงไม่น่าจะรอดแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่ยอมหย่าแต่สุดท้ายก็แยกห้องกันจด ก็เลิกกัน”

ทั้งนี้ยังเผยว่า ตอนตัดสินใจหย่าเธอไม่สนใจความเป็นดาราที่มีชื่อเสียงอยู่เลย เพราะตอนนั้นรู้แล้วว่าไปไม่รอดแล้วจริงๆ โดยเผยว่าตลอดเวลา 3 เดือนที่อยู่ด้วยกันคิดฆ่าตัวตัวอยู่แล้วครั้ง

“พูดง่ายๆคือ ปืนที่อยู่บนหัวนอน ต้อมเอาจ่อหัวหลายรอบมาก”

ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดแต่กลับแรงกับชิีวิตมากขนาด  “เป็นโรคซึมเศร้าที่น้ำหนักเหลืออยู่ 35 กก. เลือดในตัวไม่มี” เธอเล่า

แต่สิ่งที่หยุดเธอได้ คือคุณแม่และพี่ชายที่กำลังป่วย

“เราก็มานั่งคิดว่าถ้าเราไปสักคนนึงใครจะดูแลแม่ใครจะแลพี่ชาย”

และแน่นอนหลังจากมีข่าวว่าเธอหย่าร้างกับสามี เธอก็ต้องพบกับความกดดันจากสื่อ ที่ตามมาเฝ้าถึงหน้าบ้าน บ้างก็ปีนเข้ามาจนเธอต้องให้ ตำรวจมาเฝ้าไว้ หรือแม้กระทั่งออกจากบ้านก็ต้องโทรให้เพื่อนขับรถมา 2 คัน เพื่อที่จะได้ออกพร้อมกันแล้วไม่รู้ว่าเป็นคันไหน

“หนูงงกับชีวิตมาก หนูฆ่าตัวตายเหรอ ตี 3 นักข่าวปีนเข้าบ้านเพื่อที่จะมาเอาข่าว แม่บุญธรรมต้องเอาตำรวจมานั่งหน้าบ้าน เราทำอะไรผิดขนาดนี้เลยหรอ” จนในที่สุดตัดสินใจหนีไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้องที่แอลเอ

ซึ่งหลังจากเธอนั้นเธอก็ได้ได้บทเรียนกับความรักครั้งแรกว่า “ต้องคิดให้ดี จะทำอะไรหลังจากนี้ก็คงต้องคิดให้มาก คิดให้หนัก ไม่อยากใช้อารมณ์เป็นตัวตั้งอีกแล้ว”

แต่หลังจากนั้น 3 ปี ความรักก็เข้ามาอีกครั้งกับหนุ่มลูกครึ่ง ที่รู้จักกันผ่านแม่บุญธรรมของเธอกับแม่ฝ่ายชาย

“พอเปิดใจกับคนใหม่ กำแพงไม่สูงค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยกับต่างชาติมันต่างกัน ตอนเป็นแฟนกันเค้าน่ารักค่ะ ศึกษาประมาณ 3 ปีค่ะ แต่เราว่ามันไกล เราอยู่ไทยเค้าอยู่อเมริกา ก็โทรหากันทุกวันค่ะ เราก็รู้สึกว่าเค้าทุ่มเท เพราะการโทรหากันในสมัยนั้นยังลำบากเลย ก็เลยตัดสินใจแต่งอีกครั้งค่ะ”

ประกอบกับเริ่มเบื่อวงการบันเทิงจึงย้ายไปอยู่กับสามีที่อเมริกา ซึ่งหลังจ่กนั้นปัญหาที่เริ่มขึ้นคือ ความหึงหวงที่มีมากเกินไป แม้กระทั่งพ่อของฝ่ายชายก็คุยมากไม่ได้ ส่วนเพื่อนที่จะคุยได้คือผู้หญิงเท่านั้น

ถึงแม้หลายคนจะมองว่าเธอนั้นมีชีวิตราวกับนกน้อยในกรงทอง เธอกลับรู้สึกอึดอัดเพราะไม่สามารถออกไปไหน หรือพูดคุยกับใครได้เลย จากแรกๆแค่เหงา แต่พอมีลูกแล้วกลับรู้สึกเหมือนคนบ้า

“เราคิดว่าถ้าเราอยู่ไปอีกสักพัก เราจะคุยกับกำแพงแล้วค่ะ แค่มีเมดมาทำงานที่บ้าน เราก็ดีใจแล้วค่ะ แต่เมดไม่คุยกับเราอ่ะ เราเหมือนคนบ้าที่เดินตามเมด เดินตามเพื่อคุยกับเค้า แต่เค้าไม่คุยด้วย”

จนถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอพยายามหาทางกลับเมืองไทย เมื่อลูกสาววัยขวบกว่า เดินไปที่ระเบียงพร้อมตะโกนว่า let me go หรือ ปล่อยฉันออกไป

“เราก็คิดว่า ถ้าเราอยู่ตรงนี้ ลูกเราจะเป็นคนแบบไหน เป็นโรคหวาดระแวงรึเปล่า ไม่ให้ลูกออกไปไหนเลย ถ้าจะไปไหนก็ต้องมีเค้าไปด้วย ลูกเราถ้าได้ออกไปข้างนอก เค้าจะแฮปปี้มาก พอกลับเข้าบ้านเค้าจะเป็นเด็กซึมเลย”

แม้ว่าสามีจะยังทำหน้าที่พ่อที่ดีของลูก และพยายามคิดว่าถึงสาเหตุที่ทำให้สามีเป็นแบบนี้ เพราะพ่อแม่สามีเคยหย่าร้างประกอบกับการสูญเสียคุณแม่ จึงอยากหาคนเติมเต็ม แต่เธอก็ว่าแค่ความรักอย่างเดียวไม่โอเค

หลังจากนั้นเธอใช้เวลากว่า 4 เดือน ในการแอบแพคของพร้อมขนส่งผ่านทางเรือ ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์สอนภาษาที่เธออ้างว่าขอไปเรียนภาษาเพิ่ม เธอเลือกพาลูกสาวบินไปอยู่ที่แอลเอก่อนเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อไม่ให้บ้านสามีสงสัยเพราะโกหกว่าขอมาเที่ยวพักผ่อน ก่อนจะบินตรงกลับไทยทันที

ซึ่งเธอก็ยอมบอกความจริงสามีเช่นกัน

“คือเค้ารู้แล้วว่าเราหนี เค้าร้องไห้ใหญ่เลย โทรมาอยู่ประมาณ 6 เดือน พูดให้กลับค่ะ ณ ตอนนั้นเราอยู่ไม่ได้แล้ว เรากลับไม่ได้ เราก็บอกเค้าว่า มาอยู่ไทยด้วยกันมั้ย เราจากกันแบบรักกันนะ มันทรมานนะ ต่างคนยังรักกันอยู่ แต่มันทรมานนะ ถามว่าระหว่างลูกกับแฟน เราเอาลูกมากกว่าค่ะ”

ซึ่งหลังจากพยายามคุยกันผ่านโทรศัพท์ได้ 6 เดือน ฝ่ายชายก็หายไปนานนับ 10 ปี หลังจากที่เธอประชดด้วยคำว่าจะขายแหวนแต่งงานทิ้ง

กระทั่งเธอเริ่มเปิดใจให้รักครั้งใหม่ เมื่อลูกสาวไปโรงเรียนในวันพ่อแล้วเกิดคำถามถึงพ่อขึ้น จึงลองทำความรู้จักกับหนุ่มต่างชาติคนใหม่ ซึ่งปัจจุบันคือสามีเธอนั่นเอง โดยเอาประสบการณ์ชีวิตคู่ในอดีตมาใช้กับคนปัจจุบัน ซึ่งระหว่างนั้นเธอก็บอกลูกสาวที่ตอนนี้ย่างเข้าวัย 14 แล้ว ว่าหากไม่โอเค เธอพร้อมจบทันที

“คือกับคนนี้เราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ลูกมาเป็นที่หนึ่ง เรายังเคยบอกว่า ถ้ายูจะมีใคร ขอให้ซื้อกินนะ เพราะผู้หญิงพวกนั้นเค้าสะอาดกว่า ไม่ต้องมาระวังโรค เราโตแล้วไง ผ่านอะไรมามาก เราก็รู้แล้วว่าควรใช้ชีวิตครอบครัวยังไง”

จนกระทั่งตอนนี้มีลูกชายวัยกำลังน่ารักอย่าง ‘น้องมาวิน’ แล้ว

“คือเราอยู่กับแบบคุยกัน ถ้าทะเลาะกันก็ขอให้อยู่ในบ้าน พอต่างคนต่างอารมณ์เย็นลงก็ค่อยหันหน้ามาคุยกัน ถามว่าคนนี้ขี้หึงมั้ย เค้าก็หึงนะ แต่ไม่ทำให้เราอึดอัดเหมือนคนก่อน หึงนิดๆ พอประมาณ”

“ชีวิตทุกวันนี้ ลูกสำคัญที่สุดค่ะ ต่อไปก็เป็นงาน แล้วชีวิตครอบครัวก็ตามมาค่ะ ขอชีวิตแค่เรียบๆ ค่ะ ไม่ต้องรวยล้นฟ้า ขอแบบสบายๆ ก็พอค่ะ ตอนนี้ชีวิตแฮปปี้ดีแล้วค่ะ”  ต้อมกล่าว

และนี่คือคลิปสัมภาษณ์เต็มๆ

ขอบคุณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image