All the Money in the World มหาเศรษฐีเขี้ยวลากดินกับโจรเรียกค่าไถ่

All the Money in the World มหาเศรษฐีเขี้ยวลากดินกับโจรเรียกค่าไถ่

เชื่อไหม มีอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ถูกระบุว่า ไม่ใช่แค่คนที่รวยที่สุดในโลก แต่เป็นคนที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันยักษ์ใหญ่เก็ตตีออยล์ เจ้าของศิลปะล้ำค่าขนาดต้องสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บ มีรายได้วันละ 7.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 240 ล้านบาท)

แต่เมื่อหลานชายของเขาถูกโจรเรียกค่าไถ่จับตัวไป เขาให้สัมภาษณ์ออกสื่ออย่างแข็งกร้าวว่า “ผมมีหลานสิบสี่คน ถ้าผมจ่ายค่าไถ่ หลานทุกคนก็คงถูกลักพาตัว”

นี่เป็นหลักการที่เย็นชาและหน้าเลือดมาก ที่คฤหาสน์ (หรือจะเรียกปราสาท) ของเขา ติดโทรศัพท์สาธารณะ เพื่อให้แขกที่มาหาและจำเป็นต้องโทรศัพท์ ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่ติดอยู่ แทนที่จะใช้โทรศัพท์บ้าน

Advertisement

ไม่ใช่แค่นั้น ในคฤหาสน์อันโอ่โถงของเขา มีห้องห้องหนึ่งระเกะระกะไปด้วยชุดชั้นในที่เขาตากไว้ เพราะไม่ยอมเสียค่าจ้างซักชุดชั้นใน

เศรษฐีคนนี้มีชื่อว่า เจ พอล เก็ตตี เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในยุค 70 มีวิสัยทัศน์ขนาดเดินทางไปตะวันออกกลางในปี 1948 เพื่อบุกเบิกธุรกิจน้ำมันที่ทำให้เขาร่ำรวยล้นฟ้า แต่เก็ตตีตีราคาของทุกสิ่งและมองทุกอย่างเป็นเรื่องธุรกิจ แม้แต่ชีวิตคนในครอบครัว

การประกาศจุดยืนไม่จ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวหลานต่อหน้าสื่อ ทำให้คดีเรียกค่าไถ่นี้โด่งดังไปทั่วโลก เพราะผู้เป็นปู่เห็นอำนาจเงินเหนือสายเลือดของตัวเอง ทั้งๆ ที่เงินจำนวนที่ถูกเรียก เป็นเพียงแค่เศษเงินสำหรับมหาเศรษฐีอย่างเขาเท่านั้น

Advertisement

ผู้กำกับหนังชั้นครู ริดลีย์ สก็อตต์ ตีแผ่ความเขี้ยว เลือดเย็น และหน้าเงินของเก็ตตี โดยดัดแปลงจากหนังสือบันทึกความจำ Painfully Rich: The Outrageous Fortune and Misfortunes of the Heirs of J. Paul Getty ของ จอห์น เพียร์สัน มาสู่หนังอาชญากรรม ดราม่าระทึกขวัญที่ชวนติดตามและลุ้นระทึก โดยมีเดวิด สการ์ปา เป็นผู้เขียนบท

ถ้าจะดูหนังให้สนุกแนะนำว่าอย่าให้ใครสปอยล์เนื้อเรื่องก่อน หนังดูง่ายไม่ซับซ้อน แต่หลอกล่อคนดูจนเดาทางไม่ได้

ความร่ำรวยของตระกูลเก็ตตีทำให้ทันทีที่มีข่าวว่าพอล เก็ตตี ที่สาม (ชาร์ลี พลัมเมอร์) ถูกจับตัวไป ก็มีจดหมายหลายสิบฉบับอ้างว่ามาจากผู้จับตัว แต่เศรษฐีเขี้ยวลากดินอย่างเก็ตตี (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) น่ะหรือ จะยอมให้โจรกระจอกหลอกได้

เขาเรียก เฟลทเชอร์ เชซ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ผู้ช่วยส่วนตัว อดีตเจ้าหน้าที่ CIA ที่เขาบอกว่า “ฉันจ้างนายมาทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ หรือไม่ยอมทำ” มาเพื่อต่อรองกับโจรและเป็นกันชนไม่ให้เขาต้องพบ เกล ฮาร์ริส (มิเชลล์ วิลเลียมส์) แม่ของพอล อดีตภริยาของลูกชายของเขา ที่พยายามมาพบเพื่อขอร้องให้ช่วยชีวิตลูก

เมื่อผู้เป็นปู่ไม่สนใจกับความเป็นความตายของหลาน เกลต้องหาทางหาเงินและต่อรองโจรเพื่อรักษาชีวิตลูก โดยมีเชซที่แม้จะเป็นคนของเก็ตตี แต่ก็เห็นใจเกลและพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ ชีวิตพอลตกอยู่ในอันตรายทุกขณะจิต ปู่ใจหินจะยอมจ่ายเงินหรือไม่ ลองไปช่วยกันลุ้นละกัน

นอกจากเนื้อเรื่องที่เข็มข้น ในบรรยากาศย้อนยุคที่เนียนทั้งฉากและการแต่งกายที่สมจริงแล้ว การแสดงของตัวละครเอกทั้งสี่คน ก็ทำให้คนดูระทึกและเอาใจช่วย สุดยอดการแสดงของหนังเรื่องนี้คือ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ปู่ผู้ไร้หัวใจและแสนเย็นชา

ก่อนหน้าหนังเรื่องนี้เข้าฉายเพียงเดือนเดียว เควิน สเปซีย์ ผู้รับบท เจ พอล เก็ตตี (คนปู่) ถูกโจมตีและถูกต่อต้านจากวงการฮอลลีวูดเกี่ยวกับคดีล่วงละเมิดทางเพศ สก็อตต์ตัดสินใจตัดฉากที่สเปซีย์แสดงออกทั้งหมด และให้พลัมเมอร์รับบทนี้แทน

การถ่ายซ่อมใช้เวลาเพียงสิบวัน แต่การแสดงที่ชวนให้ขนลุกกับความเลือดเย็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของหลานนี้เอง ทำให้พลัมเมอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในเกือบทุกเวที รวมทั้งเวทีออสการ์ปีนี้ด้วย

มิเชลล์ วิลเลียมส์ ในบทหญิงแกร่งผู้เป็นแม่ แสดงได้อย่างสมศักดิ์ศรีดาราที่เคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ถึงสี่ครั้ง ภาพสีหน้ามีความหวังที่เธอประคับประคองรูปสลักที่ปู่ให้พอลสมัยยังเด็กและบอกว่ามีค่ามหาศาล ไปขายที่พิพิธภัณฑ์ กับภาพแม่ที่ดวงใจแหลกสลายทรุดตัวร้องไห้ตรงบันไดพิพิธภัณฑ์ สั่นสะเทือนใจและติดตาผู้เป็นแม่ทุกคน

มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ทิ้งคราบนักบู๊ ไม่มีบทแอคชั่นจับปืนสาดยิงกระสุนหรืออัดผู้ร้าย มีแต่เชซ ผู้ชายมาดเนี้ยบ แต่งกายดีไม่พกแม้แต่ปืน เขาบอกเกลว่า “ไม่พกปืนให้ลำบากหรอก มันจะทำให้สูทผมยับ” คำสั่งจากเก็ตตีที่เขาได้รับคือ ตามหาหลานโดยใช้เงินน้อยที่สุด และ “ฉันไม่ได้จ้างอดีต CIA มา เพียงแค่เอาเงินไปจ่ายให้ไอ้พวกนั้นหรอกนะ”

หนังเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ก็มีเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้วงการฮอลลีวูดกอสซิปกันพอสนุก เมื่อมีการเปลี่ยนตัวนักแสดงจาก เควิน สเปซีย์ เป็นคริสโตเพอร์ พลัมเมอร์ ต้องมีการถ่ายซ่อมใหม่

มิเชลล์ วิลเลียมส์ เห็นความทุ่มเทของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ยอมถ่ายซ่อมฟรี รับแต่ค่าเบี้ยเลี้ยงรายวัน วันละ 80 เหรียญ ในขณะที่วอห์ลเบิร์ก ไม่ยอมถ่ายซ่อมจนกว่าจะได้ค่าตัวเพิ่ม 1.5 ล้านเหรียญ แต่ชะรอยจะทนเสียงนินทาไม่ไหว ในที่สุดเขาตัดสินใจบริจาคเงินดังกล่าว

เรื่องของเรื่องจึงจบลงด้วยดี ไม่มีคนหน้าเลือด บูชาเงินเป็นพระเจ้าทั้งในและนอกจอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image