เอาแค่ย้อนไปครึ่งศตวรรษ เราเข้าใจไหมว่า ทำไมเราต้องอยู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียว มีมากน้อยเท่าไหร่ที่รู้ว่า ผัวเดียวเมียเดียวเป็นความคิดแบบตะวันตก ที่ถูกยกให้เป็นวัฒนธรรมแห่งชาติของไทยในทศวรรษ 2480 แล้วอยากรู้หรือน่ารู้ต่อไปไหมว่า สังคมไทยสมัยใหม่ยอมรับความศรีวิไลแบบตะวันตกเรื่องนี้เข้ามาได้อย่างไร
เพราะช่วงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชนชั้นปกครองของสยามเห็นว่า ผัวเดียวเมียเดียวเป็นของนอกที่จะก่อปัญหานานาประการ ดังนั้น จึงต้องรักษาจารีตผัวเดียวหลายเมียไว้
แต่ท่ามกลางแรงกดดันจากตะวันตก และการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ผลักดันให้สังคมพากันวิจารณ์ปัญหาเรื่องเพศ ทั้งเพศสภาพและเพศวิถี ก่อทัศนะทางเพศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ถกถามความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย จนทำให้ในที่สุด ผัวเดียวเมียเดียวก็กลายเป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับกันในปัจจุบันไป
‘ผัวเดียวเมียเดียว อาณานิคมครอบครัวในสยาม’ ปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯของ สุรเชษ์ฐ สุขลาภกิจ จึงแน่ใจได้เรื่องความถี่ถ้วนของข้อมูลที่ค้นคว้ามาให้ผู้อ่านพิจารณา
เนื้อหาเริ่มขึ้นอย่างดึงดูดใจด้วยพระปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่าซิวิไลซ์” (2475) ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ นายกราชบัณฑิตยสภาที่ทรงตั้งพระปุจฉาซึ่งมิอาจ
วิสัชนาอย่างเป็นภววิสัยได้ว่า “ก็สิ่งไรเล่าเป็นน้ำเนื้อของอารยธรรม ทรัพย์หรือ อำนาจหรือ เครื่องจักรหรือ มีเมียคนเดียวหรือ หรืออะไร”
“เพราะประชุมชนที่นิยมว่าซิวิไลซ์ ใช้ประเพณีมีเมียหลายคนก็มี …(แต่)ประชุมชนชาวป่าเถื่อนบางพวกเคร่งครัดในเรื่องเมียคนเดียว ประเทศที่เรียกกันว่าซิวิไลซ์สิ กลับไม่เคร่งครัดจริงจัง ฉะนี้ จึงควรถือได้ว่า ประเพณีชายมีเมียคนเดียวนั้น มิใช่น้ำเนื้อของอารยธรรม”
เรื่องนี้ย่อมน่าอ่านน่ารู้ ด้วยเหตุที่ว่า เดี๋ยวนี้แม้กฎหมายจะกำกับเรื่องผัวเดียวเมียเดียว แต่พฤตินัยก็ยังผัวเดียวหลายเมียกันอยู่ไม่น้อย จึงน่าจะศึกษาที่มาที่ไปให้กระจ่าง อย่างน้อย(บางคน)ก็อาจนำไปอ้างกับเมีย(หลวง)ได้ นี่ไม่ได้พูดแสดงทัศนะทางเพศที่กดขี่เอาเปรียบ เพราะอยากชวนให้อ่านให้รู้จริงๆ
ตั้งแต่การโต้แย้งมโนทัศน์เรื่องผัวเดียวเมียของชนชั้นนำ พุทธศาสนากับวัฒนธรรมผัวเดียวหลายเมีย ต้นเรื่องการวิจารณ์ผัวเดียวหลายเมียผ่านสื่อสิ่งพิมพ์สยาม ไปจนการตอบสนองของชนชั้นกลางต่อเรื่องสองประเด็นนี้ กระทั่งพระราชทัศนะต่อสาธารณะในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงผัวเดียวเมียเดียวในวาระการปฏิวัติ 2475
ล้วนเป็นเรื่องตื่นเต้นน่ารู้ทั้งสิ้น ว่าสังคมผ่านเรื่องนี้มาอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถกเถียงกันในคณะอภิรัฐมนตรีแบบไหน กี่เสียงสนับสนุนผัวเดียวเมียเดียว กี่เสียงสนับสนุนผัวเดียวหลายเมีย จนมาเป็นกฎหมายและยังมีปัญหาของกฎหมายครอบครัววันนี้ และรู้ไหม การประดิษฐ์พิธีสมรสในยุคสร้างชาติเกิดขึ้นอย่างไร
อ่านสนุกทีเดียวเชียว ขอบอก
๐ ชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเรื่องราวน่าสนใจผิดแผกกันไป ถ้าได้เล่าสู่กันฟังแล้ว ต่อให้เรียบง่ายไม่โลดโผนโจนทะยานก็ยังมีเนื้อหารายละเอียดที่น่ารู้ ไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือเดินดินกินข้าวแกงธรรมดาก็ตาม เพียงแต่บ้านเรายังมีงานหนังสืออัตชีวประวัติน้อย ไม่เหมือนฝรั่งตะวันตกที่ขี่จักรยานรอบประเทศเสร็จก็เขียนหนังสือได้เล่มหนึ่งแล้ว ทำกับข้าวกินเองทุกวันก็เขียนหนังสือได้อีกเล่ม เป็นต้น แผนกอัตชีวประวัติในร้านหนังสือเมืองนอกจึงมีหิ้งหลายชั้นกว้างขวาง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของคนที่แน่นอนว่าเราไม่รู้จักเสียมาก
ดังนั้น เมื่อชีวิตของนักไวโอลินครูดนตรีมีชื่อเสียงคนหนึ่งของไทย โกวิทย์ ขันธศิริ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดใน ‘สี่สายไวโอลิน’ โดยศิษย์ เกษศิรินทร์ ซิกเกิล กับ ผาณิต บุญมาก หนังสือเล่มนี้จึงมีคุณอนันต์ทั้งโดยเนื้อหาและอรรถรสจากชีวิตเจ้าของเรื่อง
ความพิสดารน่าตื่นเต้นเริ่มตั้งแต่พ่อของครู สมบุญ ขันธศิริ ชาวอยุธยาเมืองเก่า นักซอสมัครเล่นที่สอนลูกชายหญิงให้เล่นดนตรีเอง ทำซอให้ใช้เอง และที่น่าบันทึกไว้คือ อาจเป็นคนไทยคนแรกที่ทำไวโอลินขึ้นเองได้ ให้ลูกใช้งาน เพราะไม่ว่าเดี๋ยวนี้หรือกว่าครึ่งศตวรรษก่อนไวโอลินย่อมเป็นของนำเข้าและราคาแพง ฝีมือใช้ไม้ไทยสร้างไวโอลินขึ้นมานั้น ขายได้ถึงหลักหมื่นในปี 2509 ซึ่งก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์ จนนักดนตรีฝรั่งชื่นชม มอบแบบสร้างไวโอลินกับไม้สำหรับผลิตให้
แค่เรื่องพ่อก็น่าทึ่งแล้ว ชีวิตของครูโกวิทย์ยิ่งน่าติดตาม จนถึงคราวไวโอลินอายุนับร้อยปีที่ฝากวิญญาณไว้หายไป ต้องพลิกแผ่นดินตามหานานถึง 5-6 ปีถึงได้คืน ก็ยิ่งเห็นความรักอันลึกซึ้งในดนตรีของครูที่น่าซาบซึ้งใจ
หนังสือเล่มนี้อ่านเพลิน ได้เรียนรู้โลกดนตรีไทยเราเองอีกมากมาย ที่สำคัญ ภาพประกอบซึ่งเก็บไว้อย่างดีตั้งแต่วัยเยาว์มาจนตลอดทุกช่วงชีวิต ทำให้เห็นสีสันของครูได้สมบูรณ์ขึ้น น่าหาอ่าน
๐ พิมพ์ครั้งที่ 17 แล้ว ‘ห้าสหายผจญภัย’ ของ อีนิด ไบลตัน นักเขียนนิยายสำหรับเด็กและเยาวชนชาวอังกฤษ ซึ่งมีชื่อมาแต่กว่าครึ่งศตวรรษก่อน หนังสือสนุกชุดนี้ 21 เล่ม วางบนหิ้งให้ลูกหลานวัยเยาว์ได้ผจญภัยในจินตนาการกันได้อย่างอิ่มเอมทีเดียว
และสหายทั้ง 4 กับอีกหนึ่งสุนัขแสนรู้จากงานชุดนี้ จะจำหลักในความทรงจำของนักอ่านรุ่นเล็กไปอีกนานแสนนานทีเดียว.
บรรณาลักษณ์