กอปศ.ชูร.ร.นิติบุคคล3รูปแบบ เปิด ‘3-5’สถานศึกษารวมกลุ่มบริหาร

นายตวง อันทะไชย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) กล่าวเป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “การบริหารงานบุคคลสู่การปฏิรูปการศึกษาไทยยุคใหญ่” จัดโดยสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย(ส.บ.พ.ท.) ที่ห้องประชุมโรงเรียนราชวินิตมัธยม เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า หัวใจของการปฏิรปการศึกษาที่แท้จริงคือการปฏิรูปการเรียนรู้ ส่วนการปฏิรูปโครงสร้าง เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ การปฏิรูปที่แท้จริงต้องตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 คือการปฏิรูปการเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่การปฏิรูปหลักสูตร ซึ่งหลักสูตรปัจจุบันบังคับให้เด็กทุกช่วงชั้นเรียน 8 กลุ่มสาระเหมือนกันหมด ซึ่งเกินความจำเป็น นอกจากนั้นต้องปฏิรูปการเรียนการสอน ครูต้องเปลี่ยนมาสอนแบบ Active Learning จากเดิม Passive Learning นักเรียนจึงจะสร้างองค์ความรู้ได้ ครูจึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบนับตั้งแต่การสอบคัดเลือก การผลิตครูในสถาบันการผลิตครู และการพัฒนาครูประจำการ

นายตวง กล่าวต่อว่า ส่วนคูปองพัฒนาครูที่จัดสรรเงินครูคนละหมื่นบาทเพื่อเลือกหลักสูตรอบรมนั้น เป็นเรื่องที่ดี ครูจะได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามความต้องการ แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งถ้าให้งบประมาณนี้กับสถานศึกษาได้บริหารจัดการ เพื่อให้ครูและสถานศึกษาร่วมมือกันจัดกิจกรรมการพัฒนาครูในสถานศึกษา โดยอาจจัดเป็นกระบวนการการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ(PLC) ในสถานศึกษา ครูจะได้ไม่ออกจากห้องเรียน ส่วนการกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเป็นโรงเรียนนิติบุคคลนั้น ระยะแรกควรมี 3 รูปแบบ คือ 1.โรงเรียนที่มีความพร้อมที่สุดที่มีทรัพยากรการบริหารเพียงพอ ก็สามารถเป็นโรงเรียนนิติบุคคลโดยเอกเทศได้ แต่ประเด็นสำคัญคือ คณะกรรมการสถานศึกษาต้องเข้มแข็ง เช่นเดียวกับสภามหาวิทยาลัย ที่ควบคุมอำนาจฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. แบบรวมกัน สองโรงเรียนเป็นนิติบุคคลเดียวกัน 3.แบบรวมกันห้าโรงเรียนขึ้นไปเป็นนิติบุคคลเดียวกัน ส่วนสถานศึกษาที่ยังไม่พร้อม หรือนอกเหนือจากนี้ก็ให้อยู่ในความดูแลของเขตพื้นที่การศึกษาต่อไป สำหรับการบริหารจัดการศึกษาในภูมิภาคนั้น ศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)ควรมีหน้าที่จัดทำแผนปฏิรูปการศึกษาจังหวัดให้สอดคล้องแผนปฏิรูปประเทศ จัดทำยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาจังหวัดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 20 ปี และทำหน้าที่เชื่อมโยง ประสาน บูรณาการการศึกษาของจังหวัดให้แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนการสั่งบรรจุแต่งตั้งการบริหารงานบุคคลก็ควรเป็นหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษาอื่นของแท่งต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ไม่เพิ่มขั้นตอนการทำงานมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image