Death Wish กับ Red Sparrow หนังแอคชั่น-หนังสายลับสองรส

Death Wish

ต้นฉบับหนังล่าล้างแค้นยุค 1974 ที่ทำให้ทั้งหนังและดารานำ ชาร์ลส์ บรอนสัน ดังระเบิด จนมีภาคต่อออกมาอีกถึงสี่ภาค และเป็นต้นแบบของหนังเดินหน้าไล่ฆ่าล้างแค้นกลุ่มอันธพาล ที่ลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายอีกหลายเรื่องเช่น The Punisher, Mad Max,Taken หรือ John Wick

ปีนี้ผู้กำกับสายโหด อิไล รอธ ที่คอหนังสายระทึกขวัญรู้จักกันดี เพราะเป็นเจ้าพ่อหนังซาดิสต์ประเภทเลือดสาดกระจาย อาทิ Cabin Fever, Hostel, The Great Inferno เอากลับมารีเมคใหม่ ใส่ความทันสมัยให้เข้ากับยุคปัจจุบัน

โดยเน้นเรื่องสื่อสังคมออนไลน์ที่ไปเร็วมากแทบจะทันทีที่เกิดเหตุการณ์ แถมมีการตั้งประเด็นความถูกต้องในการตั้งตนเป็นศาลเตี้ยในสื่อ เพื่อให้ผู้ชมเข้าร่วมวิพากษ์วิจารณ์ เหมือนสังคมโลกโซเซียลยุคปัจจุบัน

Advertisement

เนื้อเรื่องยังรักษาประเด็นเดิม พอล เคอร์ซี่ (บรูซ วิลลิส) ศัลยแพทย์มือดีและแฟมิลี่แมน ถูกแก๊งโจรบุกขึ้นบ้าน ภริยาถูกยิงตาย ส่วนลูกสาวที่กำลังมีอนาคตไกลตกอยู่ในภาวะโคม่า

หนังปูเรื่องว่าเมืองชิคาโกที่พอลอาศัย เป็นเมืองแห่งอาชญากรรม ที่มีคดีปล้นฆ่าเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และส่วนใหญ่ตำรวจไม่สามารถจะสะสางคดีได้ ถึงขนาดมีคำพูดว่า “ถ้าคนคนหนึ่งต้องการปกป้องสิ่งที่เป็นของเขา เขาต้องลงมือทำด้วยตนเอง”

เวอร์ชั่นเก่า ชาร์ลส์ บรอนสัน เป็นสถาปนิกที่มีอดีตเป็นทหารที่เคยไปรบที่เกาหลี ฉะนั้นเมื่อลุกขึ้นมาไล่ล่าฆ่าคนเลว ยังพอทำให้คนดูเชื่อและไม่สงสัยในฝีมือ

แต่การให้ พอล เคอร์ซี่ ภาคนี้เป็นศัลยแพทย์ ทำให้พอดูแล้วอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ศัลยแพทย์ในวัยหกสิบกว่า จะลุกขึ้นมามีทักษะการใช้ปืนได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? (ทั้งยังเป็นการใช้ปืนจากการฝึกยิงด้วยตนเองอีกด้วย)

ผู้กำกับร็อธพูดถึงตัวละครของเขาว่า “พอล เคอร์ซี่ เสมือนมีด้านการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน กลางวันเขาคือศัลยแพทย์ ส่วนกลางคืนเขาจะออกไปตามท้องถนน เพื่อไล่ล่าฆ่าพวกเหล่าอาชญากร ผู้คนรู้จักเขาในนามกริม รีปเปอร์”

เจตนาของผู้กำกับก็เพื่อสร้างคาแร็กเตอร์ให้มีความขัดแย้งกัน กลางวันช่วยชีวิตคน แม้คนที่ช่วยจะเป็นอาชญากร แต่กลางคืนกลายเป็นมัจจุราชแห่งชิคาโก้ หรือเทพผู้พิทักษ์ มีฉากแบ่งครึ่งจอเปรียบเทียบการทำหน้าที่แพทย์ช่วงกลางวัน และฝึกหัดยิงปืนช่วงกลางคืน แต่ประเด็นนี้ก็ไม่คมพอที่จะทำให้คนดูประทับใจและรู้สึกคล้อยตาม

แต่หากไม่คิดอะไรมาก หนังเรื่องนี้ก็ดูสนุกตามมาตรฐานหนังอาชญากรรมแอคชั่นมันโหด บรูซ วิลลิส กลับมาเล่นหนังแอคชั่นสไตล์ Die Hard ที่ทำให้คนดูจดจำเขาอย่างติดตา แม้จะยังมีความเก๋า มีฟอร์มของแอคชั่นสตาร์ระดับตัวพ่อ แต่ความระห่ำ ความอึด ไม่เท่าสมัยยังหนุ่ม แถมแอคชั่นในหนังยังเป็นแค่การดวลปืนปะทะกัน ไม่มีการต่อสู้แบบประชิดตัวตามสูตรหนังแอคชั่นที่มันครบทุกรส

Red Sparrow

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่นามสกุลเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นอะไรกันเป็นครั้งที่ 4 หลังจากร่วมงานกันในหนังแฟรนไชส์ The Hunger Game ที่ฟรานซิสเป็นผู้กำกับถึง 3 ภาค

ในหนังเรื่องนี้ เจน ลอว์ ยังไม่ทิ้งบทนก จากม็อกกิ้งเจย์ นกที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใน Hunger Game มาเป็นสแปร์โรว์ นกต่อแสนสวย ที่เรื่องนี้เธอยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวเปลือยกายแบบล่อนจ้อน

เป็นเรื่องสายลับสาวในอีกสไตล์ ที่ไม่ใช่บู๊เก่งหรือเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบ จีนา เดวิส ในหนังเก่าแต่สนุกมาก Long Kiss Goodnight ไม่เหมือนแองเจลิน่า โจลี่ สาวสวยสังหารใน Salt หรือ ชาร์ลิซ เธอรอน ที่ฉากแอคชั่น long take ใน Atomic Blonde ของเธอถูกกล่าวถึงอย่างชื่นชม

หนังสร้างจากนวนิยายของนักเขียนอดีตเจ้าหน้าที่ CIA เจสัน แมทธิวส์ ซึ่งตีพิมพ์ปี 2013 เป็นหนังสือที่พูดกันว่า แม้แต่อดีตผู้นำสหรัฐ บารัค โอบามา ก็หยิบมาอ่าน

โดมินิก้า อิโกโรว่า (เจน ลอว์) มีภูมิหลังเป็นดาราบัลเล่ต์ดาวเด่นของบอลชอย อนาคตเธอดับวูบเพราะถูกจงใจกระทำจนไม่สามารถเต้นบัลเล่ต์ได้อีกต่อไป เมื่อมีแม่ป่วยที่ต้องดูแล และหมดอาชีพ โดมินิก้าถูกอิวาน (มาทิอัส โชนาร์ทส์) อาที่เป็นรองผอ.ข่าวกรอง ชักชวนกึ่งบังคับ ให้ฝึกเป็นสแปร์โรว์ ที่โรงเรียนที่เธอเรียกมันว่าโรงฝึกโสเภณี

สายลับสาวที่นี่ไม่ได้ถูกฝึกการต่อสู้ แต่เน้นทักษะการใช้เรือนร่างล่อหลวงเหยื่อด้วยมายาและเซ็กส์ ใช้จิตวิทยาการยั่วยุ เพื่อหาจุดอ่อน และล้วงข้อมูล เป็นสายลับที่ถูกใช้เยี่ยงโสเภณีด้วยข้ออ้างว่า ร่างกายของเธอเป็นเครื่องมือของรัฐบาลตั้งแต่ยังเด็ก และภารกิจนี้เป็นการรับใช้ชาติ

เนท แนช (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) CIA หนุ่มเป็นเป้าหมายของโดมินิก้าที่จะล้วงความลับให้ได้ว่า หนอนบ่อนไส้ของรัสเซียที่แนชทำงานร่วมด้วยคือใคร สายลับหนุ่มสาวคู่นี้จะแก้เกมอย่างไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกผูกพันและหลงใหลในกันและกัน

เจน ลอว์ แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง ในบทสายลับสาวที่ถูกบังคับให้ทำงานรับใช้ชาติ เพื่อความอยู่รอดของแม่และตัวเธอเอง เธอฝึกเต้นบัลเล่ย์อย่างหนักถึงสี่เดือน เพื่อแสดงฉากเปิดตัวช่วงแรก ซึ่งก็ดูงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการ และฝึกพูดอังกฤษสำเนียงรัสเซีย ซึ่งแค่นี้ไม่สาหัสเกินไปหรอกสำหรับดาราระดับออสการ์อย่างเธอ

ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้น่าดูก็เพราะมีเธอนี่แหละ หากเป็นคนอื่น คงดึงความสนใจของคนดูไว้ไม่ได้ ค่าที่หนังยาวมากสองชั่วโมงกว่าๆ บางช่วงเนือยๆ แถมบรรยากาศหนังชวนอึดอัดและเย็นชายังไงไม่รู้

เนื้อหาหนังซับซ้อนมีชั้นเชิง ไม่ใช่หนังสายลับแบบแอคชั่นจัดเต็ม เกือบทั้งเรื่องไม่มีบทแอคชั่น แต่เป็นการชิงไหวชิงพริบกันระหว่างสายลับ โดยใช้จิตวิทยา คำพูด ร่างกายและการกระทำ ให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูล โดยทั้งโดมินิก้าและแนชต่างถูกสั่งให้พยายามล้วงความลับของกันและกัน

หนังน่าสนใจแต่เหมือนไปไม่สุด ไม่แน่ใจว่า การตัดสินใจของโดมินิก้าท้ายเรื่องมาจากความรัก หรือเพราะต้องการเอาคืนคนที่ใช้และพยายามควบคุมเธอ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างแนชและโดมินิก้าที่ปรากฏในหนัง ไม่ทำให้ผู้ดูรู้สึกซาบซึ้งหรือประทับใจ

โดยส่วนตัวรู้สึกว่า โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน ในบทแนช เป็นผู้ชายที่ไม่มีจุดเด่น หน้าตาธรรมดา ไม่มีเสน่ห์พอที่จะทำให้อดีตดาราบัลเล่ย์สาวสวยแบบโดมินิก้า (ซึ่งน่าจะคุ้นเคยกับการมีหนุ่มหล่อมาดดีมาหลงใหล) ตกหลุมรัก แถมในหนังก็ไม่มีฉากไหนที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าคนทั้งสองมีความรักและผูกพันกันลึกซึ้ง

แม้จะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยาวไป กลางเรื่องหนืดๆ แต่เจน ลอว์ในเรื่องนี้สวยมาก คนดูหนุ่มๆ คงแทบไม่กระพริบตากับฉากเปลือยที่เห็นเรือนร่างเธออย่างกระจ่างแจ้ง แต่สำหรับผู้วิจารณ์ นอกจากโดมินิก้าจะสวยแล้ว เสน่ห์ของเธออยู่ที่สมอง เธอตักตวงความรู้ เก็บข้อมูลทั้งหมด และพลิกเกมเอาคืนคนที่ทำร้ายเธอได้อย่างสาสม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image