หากมองเพียงนามของ นายจวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม
ก็ไม่น่าสนใจ
แต่พลันที่ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ปรากฏตัวเป็น 1 ใน 15 ที่ลงนามเป็นผู้จดจองชื่อพรรคพลังประชารัฐ
อาการตาลุกวาวทางการเมืองก็บังเกิด
เพราะนี่มิได้เป็นอดีต ส.ส.สงขลา แห่งพรรคความหวังใหม่ที่เคยเจาะไข่แดงพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว หากแต่ยังเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)
ราคาของ “พรรคพลังประชารัฐ” จึงเริ่มมีความหมาย
ความหมายในที่นี้มิได้อยู่ที่ว่ากลุ่มนี้สามารถแย่งยึดเอาคำว่า “ประชารัฐ” มาใช้เป็นชื่อพรรคได้อย่างไร ประการเดียว
หากแต่อยู่ที่ “สายสัมพันธ์”
ที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมากก็คือ ความสัมพันธ์อันแนบแน่นอยู่กับ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ซึ่งไม่ธรรมดา
มิใช่เพราะว่าเคยเป็น “แม่ทัพภาคที่ 2”
หากแต่ที่ลึกซึ้งตรึงตรามากยิ่งกว่านั้นคือการเป็นนักเรียนทั้งเตรียมทหารและนายร้อยจปร.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อยู่ภายในรั้วแดง กำแพงเหลือง ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเป็นทหารเด็ก
ตรงนี้ต่างหากที่ก่อให้เกิดอาการนะจังงัง
ไม่ว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ไม่ว่า พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ล้วนปากบ่ได้ ไอบ่ดัง
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก กระดูกเสือพากษ์ไทย
ที่ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ระบุว่า ทีมการเมืองของรัฐบาลนั่งประเมิน สถานการณ์และทำการบ้านมาตลอดนั้น
ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงอย่างยิ่ง
เพียงแต่ข่าวอันเป็นความลับสุดยอดนี้เล็ดลอดออกมาได้อย่างไร เพราะจะนำไปสู่อาการตกตะลึงตึงกันถ้วนหน้า ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่ว่าพรรคพลังชาติไทย และรวมถึง “พรรคมวลมหาประชาชนฯ”
เอาเข้าจริงๆก็สู้ “พลังประชารัฐ” ไม่ได้