ในอดีต ดารา นักร้อง นักแสดง มักหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความเห็นทางการเมืองต่อสาธารณะ โดยมองว่าอาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้เป็นประเด็นการเมือง หรือทำให้สูญเสียแฟนคลับ
แต่ในความเป็นจริง ดารานักแสดงก็เป็นบุคคลที่มีความคิดอ่าน สนใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง เพราะในความเป็นจริง การเมืองและการกำหนดนโยบายต่างๆในสังคมล้วนส่งผลกระทบต่อผู้คนในสังคมไปทุกภาคส่วนไม่มียกเว้น การแสดงความเห็นทางการเมือง สังคม ต่อสาธารณะของดารานักแสดงจึงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในประเทศเจริญแล้ว จะเห็นปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นปกติ ขณะที่ในเมืองไทย ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราเห็นดารา นักแสดง นักร้องดัง เข้าร่วมเวทีการเมืองบ่อยครั้ง
ล่าสุด ณัฐ ศักดาทร นักร้องชื่อดัง ที่มีผลงานเพลงดังมากมาย เพิ่งออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองผ่านทวิตเตอร์ ณัฐ ให้เหตุผลการออกมาพูดดังกล่าว ว่าเป็นเพราะความหวังดีต่อบ้านเมืองจริงๆ และคนที่อยากให้ประเทศเดินหน้าและเจริญเติบโต ก็ควรออกมาพูดได้
ข้อความของณัฐ สะท้อนให้เห็นถึงการครุ่นคิดต่อปัญหาบ้านเมือง อย่างเข้าใจโครงสร้างปัญหาพอสมควร ณัฐมีเบื้องหลังที่น่าสนใจ เพราะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เลยทีเดียว
รายละเอียดข้อความมีดังนี้
วันที่ 15 มีนาคม ความเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง
-มาถึงตอนนี้แล้ว งงกับกฎที่ยังห้ามชุมนุมพูดคุยการเมืองเกิน 5 คน แล้วจะไปเอาเรื่องคนเหล่านั้น… จริงๆ เมื่อเข้าใกล้ “การเลือกตั้ง” อย่างที่ทางรัฐบอกไว้ น่าจะเปิดทางให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นด้วยซ้ำนะครับ เพื่อให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องการเมืองมากขึ้น+ศึกษาข้อมูลได้เต็มที่
-แล้วก็ตลกตรงที่ “ชุมนุม” รวมตัวพูดคุย “การเมือง” เกิน 5 คนไม่ได้ แต่ทุกวันนี้คนมากมายก็ถกการเมืองกันใน social คนเมนต์หลักร้อยหลักพัน มากกว่า 5 คนตั้งเยอะ ถึงจะไม่ได้มาเจอตัวกัน ก็มีพลังไม่น้อยไปกว่าการมาชุมนุมกันหรอกนะครับ ควรโฟกัสที่การเปิดกว้างทางความคิดเพื่อพัฒนาประเทศได้แล้ว
-ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรพัฒนาไปกว่านี้แล้ว อย่าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ มัน effect เราทุกคน ค่อยๆช่วยกันทีละนิด พูดอะไรได้ก็พูด ทำอะไรได้ก็ทำ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง+เหตุและผล ประเทศเรามีคนเก่งมากมาย มันควรเจริญ+มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้แล้ว มันต้องเป็นไปได้ครับ!
วันที่ 20 มีนาคม กรณีการเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่
-ขอจับตามองต่อไปยาวๆครับ เริ่มรู้สึกดีที่มีใครสักคนที่พูดจาน่าฟัง+มีเหตุผล+มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆโผล่มา อยากให้ทุกคนที่จะลงสมัครเลือกตั้งมาออกสัมภาษณ์แบบนี้ อยากรู้ว่าตัวเลือกอื่นเป็นยังไง ถ้ามี debate แบบฝรั่งได้เลยยิ่งดี ประชาชนจะได้เปรียบเทียบ+ตัดสินได้ว่าเราควรจะฝากอนาคตไว้กับใคร
-เห็นในหลายประเทศที่เจริญๆ ไม่ว่าคนทั่วไป ดารา หรือคนมีชื่อเสียงอาชีพไหน ก็กล้าแสดงความคิดเห็นด้านการเมืองเป็นเรื่องปกติครับ มันควรเป็นแบบนั้นในบ้านเราเหมือนกัน การเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของนักการเมือง แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน ถ้าเอาแต่เงียบ+ปล่อยผ่าน มันก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
วันที่ 21 มีนาคม กรณีความเห็นต่อการทวิตข้อความการเมือง
-เวลาผมทวีตเรื่องการเมือง อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะครับ สร้างความแตกแยกที่ไม่จำเป็น หลายคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในช่วงนี้ ต่างก็คงอยากเห็นประเทศเจริญก้าวหน้าไปกว่านี้กันทั้งนั้น แค่วิธีการนำเสนอต่างกัน คำพูดต่างกัน อย่าเสียเวลามาด่ากันเอง แบบนี้ไม่ทำให้ประเทศเจริญขึ้นครับ
-สิ่งที่ผมพูดแต่ละที มักจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวในแต่ละประเด็น ที่พูดเพื่อกระตุ้นให้คนที่ติดตามอยู่ตื่นตัวกับเรื่องการเมืองกันมากขึ้น จากนั้นก็ต้องไปหาข้อมูลเชิงลึกกันต่อเอง คิดกันต่อเอง วิเคราะห์กันต่อเอง ว่าอะไรน่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ อะไรที่คุณอยากสนับสนุน/ไม่อยากสนับสนุน
-บอกไว้เลยตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่มีใครมาเสี้ยมทีหลัง ผมไม่ใช่สีไหนทั้งนั้นครับ เคยเอาใจช่วยกลุ่มรัฐบาลปัจจุบันนะ เพราะตอนนั้นคิดว่าอยากให้บ้านเมืองสงบ+เดินหน้าต่อได้ แต่ในเมื่อเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ผลงานในเชิงพัฒนาประเทศ+การรับมือกับปัญหาต่างๆ ไม่เป็นที่น่าพอใจ เราก็ต้องพูดไปตามตรง
-จุดยืนเดียวของเรา ไม่ใช่การผูกติดกับคนกลุ่มใด สีใด พรรคใด หรือรัฐบาลชุดไหน แต่คือความต้องการคนที่จะมาพัฒนาประเทศ พาประเทศก้าวหน้าไปข้างหน้าได้จริง
-ใครทำผลงานได้ดี เราก็พร้อมจะสนับสนุน ใครทำผลงานได้ไม่ดี เราก็พร้อมจะมองหา+สนับสนุนคนที่น่าจะทำได้ดีกว่าแทน
– ผมรู้ดีว่าผมเคยพูดอะไรตอนนั้น เพราะนั่นคือความคิดของผม ณ วันนั้นจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนเราสามารถ “เรียนรู้” และเปลี่ยนความคิดกันได้ครับ เราได้เจอความจริง ได้เห็นแล้วว่าหลายปีที่ผ่านมาบ้านเมืองเราเป็นไง และเราก็กล้ายอมรับว่าเราเคยคิด+คาดหวังผิดไป
