T.G. Hiliburton ได้กล่าวไว้ว่า Punctualityis the soul of business. และ Emerson ว่า Make yourself necessary to someone
อ่านภาษิตของปรัชญาเมธีทั้งสองท่านแล้ว ทำให้ผู้เขียนได้คติข้อหนึ่งคือ..ไม่ว่าจะเป็นผู้นำบริ หารประเทศชาติ หรือนักธุรกิจน้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่สามารถประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับจากผู้คนในระดับประเทศหรือ วงการธุรกิจ สมาคม ฯลฯ ก็ตาม ย่อมต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบแห่ง punctuality เท่านั้น กล่าวคือนอกจากความตรงเวลา ในความหมายแคบแล้วยังต้องมี ความถูกต้องชอบธรรม ในนิยามกว้าง พร้อมกับจักต้องปฏิบัติตนให้เป็นคนที่จำเป็น necessary สำหรับคนอื่น กล่าวคือ ทำให้ผู้อื่นมีความรู้สึกว่าขาดท่านไม่ได้นั่นเอง
ความหมายอันคมลึกของปรัชญาเมธีเป็นจริงเพียงใดนั้น เห็นได้จากตัวอย่างอันชัดเจนของปรากฏการณ์ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผู้บริหารปกครองโดย สี จิ้นผิง ผู้นำที่มี วิชั่น เก่งกาจและมุ่งมั่นปราบคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง พร้อมกับการกำหนดนโยบายบริหารประเทศแผนใหม่ เน้นการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง ยังผลให้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ผู้คนในประเทศต่างอยู่ดีกินดี โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น สี ทำได้ดีเยี่ยม จนจีนผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกแห่งศตวรรษที่ 21 นี้
ทั้งนี้ จากศักยภาพการทำงานที่เข้มแข็งของ สี จิ้นผิง ทำให้ผลการประชุมสภาประชาชนจีน เทเสียงสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญของจีนให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีตลอกกาลถึง 2,958 เสียง อย่างท้วมท้น เนื่องจากเห็นผลงานที่สามารถนำพาประเทศอันยากจน ประชาชนอดอยากยากแค้นมาก่อนพ้นจากความทุกข์ ด้วยหลักการบริหารเศรษฐกิจอันทันสมัย ถูกทิศถูกทาง มีกึ๋น ซึ่งมาจาก วิชั่น อันกว้างไกลนั่นเอง…มิใช่ราคาคุยอย่างเดียว!!
กิตติพงษ์ เตรัตนชัย นายกสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน
พาสมาชิกคนดังไปศึกษาดูงานด้านการค้ายังต่างประเทศ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ก็อดห่วงไม่ได้ จึงอยากเห็นนักเศรษฐศาสตร์ มีกึ๋น และนักธุรกิจผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายได้เข้าช่วยแก้ไขเศรษฐกิจในภาครวมให้แก่ชาติ ประชาชนอยู่ดีกินดีเหมือนดั่งจีนบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ ตลอดจนสมาคมซึ่งเป็นแหล่งรวมศูนย์ คนรวย สมองเลิศ แทบทุกคน จึงเห็นควรมีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางด้านเศรษฐกิจให้แก่ ลุงตู่ บ้าง คงไม่เลวนะครับ (ฮา)
กำลังสนใจกับบทบาทของคนรวยที่ประสบความเร็จในทางธุรกิจของประเทศไทย ว่ามีคุณสมบัติอย่างไร? นับเป็นการบังเอิญหรือเปล่ามิทราบ….วันก่อน ผู้เขียนก็ได้รับการ์ดเชิญของสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน จัดงานฉลองครบ 150 ปี จากนายกสมาคมนามกระเดื่อง กิตติพงษ์ เตรัตนชัย พร้อมกับโทรมากำชับขอร้องให้ไปร่วมงานให้ได้ด้วย เนื่องจาก ฯพณฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้เกียรติมาเป็นประธานพิธี ในวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม ศกนี้ เวลา 17.00 น. ณ ห้องเมย์ แฟร์ แกรนด์บอลรูม โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ โฮเต็ล (ชั้น 11) ประตูน้ำ
น่าสนใจ ที่ประเทศไทยมีสมาคมนักธุรกิจเชื้อสายจีน-ไทย เก่าแก่ที่เกิดขึ้นมาแล้วในกรุงสยามตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งถ้านับดูช่วงกาลเวลาแล้ว น่าจะอยู่ที่สมัยปลายรัชกาลของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 4 และต่อต้นรัชกาล ที่.5 อาจนับเป็นสมาคมที่มีอายุยาวนานที่สุดของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ สิ่งที่น่าจับตาอย่างยิ่งนั่นคือ ปัจจุบันนี้สมาคมอันเก่าแก่ และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ ได้นายกผู้มีอัธยาศัยไมตรีดีเยี่ยม ให้การช่วยเหลือเกื้อกูลแก่เหล่าสมาชิกและมิตรทุกคน เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกสมาคม จึงได้รับการต้อนรับสนับสนุนจากมิตรสหายทั่วทิศ โดยเห็นได้จากการนำพากลุ่มสมาชิกไปศึกษาดูงานด้านการค้ายังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและยุโรป และได้รับเกียรติจากรัฐบาลนั้นๆ เป็นอย่างดี น่าชื่นชม
เหตุนี้ ผู้เขียนจึงหาโอกาสพบปะพูดคุยกับท่านกิตติพงษ์ เตรัตนชัย นายกสมาคมในเช้าวันหนึ่ง….
ในการสนทนา นายกกิตติพงษ์ได้เล่าให้ฟังว่า… จากสาเหตุที่สมาคมแห่งนี้มีประวัติยาวนานมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จนเป็นที่กล่าวขานของนักธุรกิจทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ผมจึงอยากเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์สมาคมอันเก่าแก่นี้ว่ามีมาอย่างไรโดยการเรียนเชิญ ศ.ดร.พรรณี บัวเล็ก ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในประเทศไทย อจ.คณะศิลปศาสตร์ ม.เกริก และ ผศ.ดร.กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ดำเนินการจัดทำหนังสือ ประวัติและพัฒนาการของสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน จากยุคก่อตั้งถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องค้นคว้าจากข้อมูลหลักฐานจากแหล่งต่างๆ พร้อมด้วยภาพประกอบที่หาได้ยาก อันถือได้ว่าเป็นหนังสือรูปเล่มสวยงามปกแข็ง เปี่ยมด้วยคุณค่าที่ควรอ่าน มามอบเป็นวิทยาทานเผยแพร่แก่สมาชิกและสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยทั่วถึง
ต่อประเด็น ไยจึงยอมทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์ และสละเวลาอันมีค่าสำหรับครอบครัวมาช่วยสมาคมวิเทศฯจนได้รับเสียงกล่าวขานถึงโดยทั่วไปว่า มร.กิตติพงษ์ผู้นี้เป็น Make himself necessary to someone ตัวจริงเสียงจริงเลยทีเดียว
นายกกิตติพงษ์วัย 70 ปี เผยต่อว่า เนื่องจากผมมีความภาคภูมิใจที่เพื่อนๆ สมาชิกทุกคนให้ความไว้วางใจท่วมท้น มอบหมายให้อยู่เป็นวาระที่สอง จึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องทุ่มเทสุดความสามารถ และทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่สมาชิกให้จงได้ สมาคมแห่งนี้มีประวัติยาวนานถึง 150 ปี ผมภูมิใจมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาองค์กรแห่งนี้ และเชื่อว่าทุกท่านที่เป็นสมาชิก คงมีความรู้สึกภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าบรรดาสมาชิกล้วนเป็นนักธุรกิจชื่อดัง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เสี่ยประจักษ์ ตั้งคารวคุณ แห่งทีโอเอ เพ้นท์, เสี่ยเล้ง แห่งสยามแก๊ส แอนด์ปิโตรเคมีกัล และบริษัทยูเนียนกรุ๊ป เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิกถึง 260 กว่าคนแล้ว
พร้อมกันนี้ ภายใต้การสนับสนุนของท่านไกรสร จันศิริ อดีตนายก ผู้ซึ่งมีวิชั่นกว้างไกล ก็ได้เกิดชมรมยุววิเทศพาณิชย์ไทย-จีนขึ้น เพื่อผลักดันให้คนหนุ่มสาวมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งของครอบครัวและประเทศชาติ ปัจจุบัน
มียุวสมาชิกถึง 120 กว่าคนแล้ว โดยมี ชยัมพร เตรัตนชัย ผู้สืบสายเลือดคุณพ่อ เป็นประธานชมรม
ผมยอมรับว่า นอกจากได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกทุกคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่อยากจะพูด นั่นคือ โชคดีที่ได้คุณยุวดี ภริยาของผม คอยให้กำลังใจอยู่เป็นเนืองนิตย์ งานใดที่เป็นสาธารณกุศลแล้วเธอเห็นพ้องด้วยเลย พูดก็พูดทุกวันนี้ผมไม่ค่อยได้มีเวลากินข้าวกับภริยาที่บ้านเลย ทุกคืนมีงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูงและสมาชิกตลอด …..ไม่ทำการบ้านเอาแต่ งานสาธารณะแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นหรือผู้เขียนแล้วไซร้….เมียเอาตายแน่ 5555 (ฮา)
ผู้เขียนเห็นด้วยกับการทำงานเพื่อหวังพัฒนาสมาคมอันเป็นที่รักถึงขนาดนี้ สมควร
แล้วที่จักต้องจัดงานฉลองครบรอบ 150 ปี ให้แก่สมาคมอย่างยิ่งใหญ่อลังการเสียที สมกับคำกล่าวของ T.G.Hiliburton ที่เน้นให้เห็นว่า ความถูกต้อง ชอบธรรม เที่ยงตรง คือ จิตวิญญาณของการทำธุรกิจ
ดังนั้น การที่สมาคมเก่าแก่แห่งนี้รู้จักใช้หลักการในเรื่องของ Punctuality มาพัฒนาระบบการค้า ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยรวบรวมความคิดอ่านและพลังอย่างเป็นระบบจากเหล่าสมาชิกซึ่งมีความรู้ความสามารถในการประกอบธุรกิจอยู่แล้ว จงร่วมแรงร่วมใจเสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อ EEC ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญอยู่ขณะนี้ เกิดผลดีในทางอ้อมอย่างแน่นอน
โดยสรุปการมุ่งมั่นพัฒนาสมาคมให้เกิดศักยภาพทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ย่อมมีส่วนยังผลดีแก่ระบบเศรษฐกิจและโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศชาติโดยรวมในที่สุด
ไพรัช วรปาณิ
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ