สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่ากองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกของปีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบทศวรรษเมื่อวันที่ 21 มีนาคม โดยอ้างเหตุผลภาพรวมที่แข็งแกร่งขึ้นในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนใหม่เป็นผู้ดูแลการประชุมครั้งแรกของเขาที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 1.5-1.75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกู้ยืมในทุกรูปแบบตั้งแต่บ้าน รถยนต์ไปจนถึงการกู้ยืมเพื่อการศึกษา
ในการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะประธานเฟด นายพาวเวลล์ชี้ไปที่ปัจจัยที่เป็นตัวส่งเสริมภาพรวมของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึง นโยบายการเงินที่ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” มากยิ่งขึ้น จากการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ที่สภาคองเกรสผ่านการรับรองไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายพาวเวลล์ยังระบุว่า ” การสร้างงานเพิ่มขึ้นที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นตัวส่งเสริมรายได้และความเชื่อมั่น และการเติบโตทางเศรษฐกิจของต่างชาติอยู่บนเส้นทางที่มั่นคง” และนั่นเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะดำเนินเส้นทางที่แข็งกร้าวมากขึ้นสำหรับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ประธานเฟดยังเปิดเผยว่า แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้ “มีสุขภาพดีขึ้น” มากกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วก่อนหน้าการเกิดวิกฤตทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าถึงตอนนี้ เฟดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าโลกจากการประกาศใช้กำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าเป็น “ความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น” ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ
