การที่มีเพียง นายธานี เทือกสุบรรณ เท่านั้นที่ยืนยันไม่ยืนยันการ
เป็นสมาชิกภาพกับพรรคประชาธิปัตย์
ไม่มีการขยับออกจาก นายถาวร เสนเนียม
ไม่มีการขยับออกจาก นายวิทยา แก้วภราดัย และ นายสาธิต วงศ์หนองเตย นายชุมพล จุลใส
รวมถึงไม่มีการขยับออกจาก นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์
เท่ากับสะท้อนว่าความหวังในการจัดตั้ง”พรรคมวลมหาประชาชน”จะไม่เกิดขึ้นในทางเป็นจริง
“ภารกิจนั้นสิ้นสุดลงหลังรัฐประหาร”
ไม่ว่าจะเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และล่าสุด นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิได้ออกมาตอกย้ำเหตุผล
นี่คือ “หมุดหมาย” สำคัญในทางการเมือง
ความสำคัญในที่นี้ไม่ได้มีความหมายเฉพาะต่อ”กปปส.”เท่านั้นหากแต่ยังมีความหมายต่อ”พรรคประชาธิปัตย์”อย่างลึกซึ้ง
หากจับ”ท่าที”ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะชัด
“คงไม่มีสมาชิกพรรคไปอยู่กับกปปส. ยืนยันว่าสมาชิกพรรคยังคงสนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนใครจะออกนอกแถวไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ไปทางเลือกอื่นไม่ต้องมาทางนี้”
เฉียบขาด มั่นคง
คำประกาศนี้เท่ากับตัด “คัตเอาต์” ทางการเมืองไม่เพียงแต่ต่อ 1 กปปส.และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น
หากยังเป็น 1 คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันแนวทางนี้ เมื่อพรรคเพื่อไทยยืนยันแนวทางนี้ ยากเป็นอย่างยิ่งที่คสช.จะได้ 250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างง่ายดาย
เส้นทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงยากในระดับ”ยากส์”
อย่าได้แปลกใจหากท่าทีของพรรคการเมืองจะเริ่มมีความเด่นชัดว่าจะสนับสนุนใครเป็น “นายกรัฐมนตรี”
เมื่อยืนยัน “หัวหน้าพรรค”ของตนเอง
นั่นเท่ากับปิดประตูไม่ต้อนรับการสืบทอดอำนาจของคสช.ไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
การยื้อ ถ่วง หน่วง “เลือกตั้ง”จะต้องดำเนินต่อไป