“หมอธี”ย้ำพัฒนาหลักสูตรอบรมครูเฟส2 เข้มข้น

นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  เปิดเผยว่า ตามที่ตนมีนโยบาย การพัฒนาครูรูปแบบครบวงจรปีการศึกษา 2561 นั้น ขณะนี้ทราบว่ามีหน่วยพัฒนาครูเสนอหลักสูตรพัฒนาครูให้สถาบันคุรุพัฒนาพิจารณารับรองกว่า 5,000 หลักสูตร แต่ปรากฏว่ามีหลักสูตรที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้อยมาก เพราะปีนี้ตนได้ให้นโยบายและกำชับสถาบันคุรุพัฒนาไปว่าจะต้องพิจารณาหลักสูตรด้วยความเข้มข้น เนื่องจากปีที่ผ่านมามีถูกติงว่าสถาบันคุรุพัฒนาให้ผ่านง่ายเกินไป  ไม่ตรงวัตถุประสงค์เพื่อนำไปพัฒนาเด็กจริง ๆ และหลักสูตรที่อบรมส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องเทคนิคการสอนไม่ค่อยมีองค์ความรู้ เพราะฉะนั้นปีนี้คณะกรรมการพิจารณาหลักสูตรจึงต้องพิจารณาด้วยความเข้มข้นและต้องพิจารณาหลายขั้นตอน โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้หลักสูตรเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง

“เรื่องการพิจารณาเพื่อรับรองหลักสูตรพัฒนาครู เข้มข้นก็ด่า ไม่เข้าข้นก็ด่า ซึ่งต้องหาจุดลงตัว แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าทำเพื่ออะไร ถ้าเป็นการทำเพื่อครู ก็ต้องยอมรับในมาตรฐาน ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ต้องเสนอแนะเข้ามา ซึ่งที่สถาบันคุรุพัฒนาและคณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร ซึ่งล้วนแต่เป็นนักวิชาการก็ต้องนำไปคิด แต่ผมจะไม่ยุ่งเรื่องการพิจารณาหลักสูตรเลย เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา แม้แต่หลักสูตรของมูลนิธิ ที่ผมเป็นประธานอยู่เสนอเข้ามาก็ยังตก หรือหลักสูตรของพรรคพวก หรือคนรู้จัก ก็ยังตก ซึ่งหลายคนก็มาโวยวายกับผม แต่ผมก็ได้บอกไปว่าเรื่องนี้ ไม่มีการใช้เส้นใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นหลักสูตรที่ผ่านจะต้องได้มาตรฐานจริง ๆ “นพ.ธีระเกียรติ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สิ่งที่ต้องการคือหลักสูตรดีๆ แต่ที่ไม่มีผู้เสนอให้สถาบันคุรุพัฒนารับรอง ซึ่งตนจะให้นโยบายไปว่าสถาบันคุรุพัฒนาต้องออกไปตามหาและให้การรับรองหลักสูตรเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนดด้วย เพื่อให้ครูเข้าไปรับการอบรม เช่น บูทแคมป์ หรือการอบรมออนไลน์ เพื่อให้ครูได้รับการอบรมอย่างทั่วถึง เพราะบางคนอาจจะอยู่ไกล เดินทางไม่สะดวก

นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า  สำหรับการจัดโครงการฯระยะที่ 2 มีหลักการที่สำคัญ  4 เรื่อง คือ  1. การคัดเลือกหลักสูตรให้เป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา ที่จะพิจารณาว่า หลักสูตรที่หน่วยจัดอบรมเสนอมา เป็นอย่างไร เป็นไปตามหลักวิชาการหรือไม่  เมื่อสถาบันคุรุพัฒนาพิจารณาหลักสูตรเรียบร้อยแล้วก็จะส่งหลักสูตรนั้นมาที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งสพฐ.ก็จะพิจารณาโดยคณะกรรมการอีก 2-3 คณะ เพื่อให้มั่นใจว่า หลักสูตรนั้น ๆ มีความเหมาะสมกับการนำมาพัฒนาครูอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เรื่องที่ 2. ค่าลงทะเบียนมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะไม่ว่าหน่วยจัดอบรมจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐ สพฐ.ก็ต้องอนุมัติภายใต้กรอบระเบียบของกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และที่สำคัญมาตรการประหยัดของ สพฐ. ซึ่งมีการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด เพราะ สพฐ.มีภาระต้องดูแลครูกว่า 400,000 คน  เรื่องที่ 3. คุณภาพหลักสูตร ซึ่งจะมีการติดตามประเมินว่า หน่วยจัดได้ทำตามเงื่อนไขการจัดอบรมหรือไม่  โดย สพฐ.จะมีคณะกรรมการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย  ผอ.และรองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) และผู้แทนครูที่เข้ารับการอบรม มาช่วยกันประเมินว่า สิ่งที่หน่วยจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสิ่งที่จัดอบรมเป็นอย่างไร หากไม่ผ่านการประเมินและไม่ทำตามเงื่อนไขที่เสนอกับสถาบันคุรุพัฒนา สพฐ.ก็จะแจ้งให้สถาบันคุรุพัฒนาเพิกถอนการอนุมัติหลักสูตร ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถเบิกเงินที่จัดอบรมได้ และสุดท้าย  จะมีการกำหนดระยะทางในการเดินทางไปอบรมของครู โดยเบื้องต้นได้มีการหารือกันแล้วว่า จะให้อยู่ในกลุ่มจังหวัด เพราะไม่อยากให้ครูเดินทางไกล ซึ่งนอกจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงแล้ว อาจต้องเบียดบังเวลาราชการที่จะต้องอยู่กับเด็กได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image