บีเง็นชวน เจ้เล้ง เยี่ยมโรงงานในญี่ปุ่น ชี้ในไทยผลิตภัณฑ์ย้อมผมหงอกขายดี

นายเททสึโอะ ทานิกาว่า กรรมการผู้จัดการบริษัทโฮยู เทรดดิ้ง(ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า เร็วๆนี้ได้เชิญกลุ่มผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมของบริษัทรายใหญ่ๆ อย่างเช่นนางอารยา ลาภชีวะสิทธิฉัตร หรือเจ้เล้ง เจ้าของร้านเจ้เล้ง พลาซ่า ดอนเมือง , น.ส.อทิตยา สวัสดี และน.ส.สายใจ สาริกานนท์ เจ้าของร้านเจ แอนด์ บีฯ ย่านประตูน้ำ ฯลฯ ไปเยี่ยมชมโรงงานที่เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมีทั้งแบรนด์บิวตี้ลาโบ้ และบีเง็น โดยบีเง็นนำเข้าขายในเมืองไทยมานานกว่า 50ปีแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าคนไทยเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานในญี่ปุ่นที่ตั้งมากว่า100 ปี

นายเททสึโอะกล่าวว่า ที่ผ่านมายอดขายในประเทศไทยเป็นที่น่าพอใจ มีมูลค่าในตลาดประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี และมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี บางปีบริษัทโตถึง 30 % แต่เฉลี่ยโตประมาณ 17-20 % อย่างไรก็ตามความเป็นญี่ปุ่นจะมีเป้าหมายที่ค่อนข้างสูงและต้องพยายามให้มากขึ้น ดังนั้นทุกคนในบริษัทจึงมองว่าเป้า 30 % เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเติบโตให้ได้ 8 ปีที่แล้ว บริษัทแม่ในญี่ปุ่นเห็นศักยภาพของเมืองไทยจึงเข้ามาตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ปีที่แล้วผลิตได้เกือบ 29 ล้านชิ้น มีทั้งผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมและย้อมเคราด้วย โรงงานแห่งนี้ใช้เป็นฐานในการส่งออกไปยัง 70 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยุโรปบางส่วน ยกเว้นอินโดนีเชียและจีนที่ทางบริษัทได้เข้าตั้งโรงงานในสองประเทศนั้นแล้ว เนื่องจากเป็นประเทศที่มีประชากรเยอะและมีอัตราการเติบโตของยอดขายสูง

“ในส่วนการทำตลาดในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป อย่างในไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นสีผมที่ขายจะเน้นสีผมที่ปิดผมหงอกค่อนข้างเยอะ แต่สีผมที่ขายในอินโดนีเซีย จีน และเวียดนาม เป็นสีผมแฟชั่นมากกว่า เพราะเป็นประเทศที่มีคนวัยทำงานอายุต่ำกว่า 35ปี จำนวนมาก“นายเททสึโอะกล่าวและว่า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมของบริษัทโฮยูและบริษัทในเครือในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป

Advertisement

กรรมการผู้จัดการบริษัทโฮยูฯกล่าวอีกว่า สำหรับจุดเด่นของแบรนด์บีเง็นอยู่ที่คุณภาพสินค้าและความปลอดภัย พร้อมทั้งพัฒนาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค อย่างบีเง็นครีมที่ใช้ปิดผมหงอกได้เลยไม่ต้องผสมอะไร สำหรับคนที่อายุประมาณ 35ปีที่มีผมหงอก ส่วนบีเง็นแบบผงกลุ่มเป้าหมายเป็นพวกผู้สูงอายุ ขณะที่แบรนด์บิวตี้ลาโบ้ กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กอายุ 18ปีขึ้นไป เป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่น โดยแต่ละแบรนด์ใช้พรีเซ็นเตอร์คนละคน อาทิบิวตี้ลาโบ้ เลือกเอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา ส่วนบีเง็น เลือก จอย”ริลมณี ศรีเพ็ญ” เป็นพรีเซ็นเตอร์

“จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันเยอะ ดังนั้นจึงต้องปรับกลยุทธ์ของบริษัทให้เข้ากับตลาดมากกว่า โดยเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค ข้อจำกัดและเงื่อนไขในแต่ละประเทศ บริษัทจึงมีทิศทางในการทำงานที่เรียกว่าโกลบอล( glocal) คือ คิดแบบทั่วโลก แต่ทำการตลาดแบบคนพื้นที่ (think global acting local) ”

ด้านนางอารยาหรือเจ้เล้งกล่าวว่า ถือเป็นโอกาสดีที่ทางบริษัทโฮยูฯให้ร้านค้าของคนไทยเข้ามาดูไลน์การผลิตในโรงงานเป็นครั้งแรก ซึ่งสมัยก่อนบีเง็นเป็นยาโกรกผมชนิดเดียวที่ทำเป็นผงตอนใช้ก็ผสมน้ำ คนไทยนิยมใช้กันมาก ขายได้ปีละเป็นหลายร้อยล้านบาท เป็นเจ้าแรกที่ผลิตยาโกรกกผมที่ไม่มีไฮโดรเจน การมาดูงานครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าบริษัทโฮยูฯใหญ่มากมีศักยภาพสูง ไปตั้งโรงงานผลิตทั้งที่จีน สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซียและที่ไทย และมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาโกรกผมจำนวนมาก รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆอีกด้วย มีวางขายทั่วไปในญี่ปุ่น เป็นบริษัทแรกของญี่ปุ่นที่ผลิตยาโกรกผม ซึ่งมีอายุกว่า 100ปี

“ปัจจุบันตลาดยาโกรกผมโลกในบ้านเราเปิดมาก คนไทยผลิตกันเองเยอะ เป็นสมุนไพรก็มาก ในส่วนของญี่ปุ่นก็มีจำนวนมากเช่นกัน เจ้เล้งเองเป็นคนนำเข้ายาโกรกแบบแพงๆของญี่ปุ่นไปเปิดคนแรกในเมืองไทย แต่เรียกคนซื้อยากมากเลย ส่วนใหญ่จะใช้ของถูกๆที่มีอยู่ในเมืองไทย ช่วงหลังเริ่มมีคนซื้อไปใช้แล้วติดใจ”เจ้เล้งกล่าวและว่า บริษัทโฮยูในไทยนั้นเล็กมาก แต่ในญี่ปุ่นใหญ่มาก ตนเองก็นึกไม่ถึงว่าจะมีศักยภาพผลิตสินค้าได้หลากหลาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image