“ปูติน” ตำหนิสหรัฐ ทำลายโอกาสหาทางออกอย่างสันติใน “ซีเรีย”

AFP PHOTO / Sputnik / Alexey NIKOLSKY

เมื่อวันที่ 16 เมษายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ตึงเครียด หลังสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ถล่มแหล่งเก็บและศูนย์วิจัยอาวุธเคมีของซีเรียเมื่อคืนวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมาว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงใช้ถ้อยคำโจมตีและกล่าวหาซึ่งกันและกัน โดยประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย พันธมิตรสำคัญของซีเรียตำหนิสหรัฐอเมริกาว่าทำลายโอกาสการหาทางออกอย่างสันติในซีเรียด้วยการโจมตีครั้งนี้ พร้อมสำทับว่า หากซีเรียถูกโจมตีอีกครั้งจะทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในสภาพโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเตรียมลงโทษบริษัทรัสเซียด้วยการแซงก์ชั่นรอบใหม่ ฐานมีเอี่ยวช่วยซีเรียผลิตอาวุธเคมี

รอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำแถลงของทางการรัสเซียระบุว่าประธานาธิบดีปูติน ให้ความเห็นดังกล่าวในระหว่างการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ชาติพันธมิตรของซีเรียอีกชาติ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การโจมตีของฝ่ายตะวันตกครั้งนี้ทำให้โอกาสที่จะแสวงหาทางออกทางการเมืองเพื่อยุติสงครามกลางเมืองในซีเรียถูกทำลายไป และประธานาธิบดีปูตินย้ำว่า หากการกระทำแบบเดียวกันซึ่งเป็นการละเมิดกฏบัตรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะนำไปสู่ภาวะปั่นป่วนโกลาหลทั่วทั้งโลก

ในเวลาเดียวกัน นางนิกกี ฮาลีย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐอเมริกาประจำยูเอ็น เปิดเผยระหว่างออกรายการ “เฟซ เดอะ เนชัน” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า สหรัฐอเมริกาเตรียมประกาศการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียอีกครั้ง โดยเชื่อว่านายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐอเมริกา จะประกาศการแซงก์ชันอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 เมษายนนี้ โดยพุ่งเป้าไปยังบรรดาบริษัทของรัสเซียที่จัดหาอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับการผลิตอาวุธเคมีให้กับซีเรียโดยเฉพาะ และระบุว่า การโจมตีและการแซงก์ชันครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวออกไปและหวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอิหร่านและรัสเซีย จะได้ยินสัญญาณดังกล่าวนี้ว่าสหรัฐอเมริกาจริงจังกับกรณีนี้ อย่างไรก็ตาม นายเยฟเกนี เซเรเบรนนิคอฟ รองประธานกรรมาธิการกลาโหมของวุฒิสภารัสเซีย ตอบโต้ว่ารัสเซียพร้อมเสมอกับการแซงก์ชันดังกล่าว ถึงแม้จะเป็นเรื่องลำบาก แต่เชื่อว่าการแซงก์ชันจะส่งผลเสียหายต่อสหรัฐและยุโรปมากกว่ารัสเซีย

ด้านเอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดี เอมมานูแอล มาครง ของฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์ ยืนยันว่า ฝรั่งเศสไม่ได้ประกาศสงครามกับรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด แต่การแทรกแซงด้วยกำลังดังกล่าวเป็นความจำเป็น เพื่อส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่าการใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือนนั้นจำเป็นต้องได้รับโทษ และย้ำว่า ในกรณีนี้ฝรั่งเศสและพันธมิตรมีความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศเต็มที่ ผู้นำฝรั่งเศสเปิดเผยด้วยว่า ได้เกลี้ยกล่อมให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาจนเชื่อว่า การคงกำลังทหารไว้ในซีเรียในระยะยาวนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

Advertisement

แต่ไม่นานหลังการให้สัมภาษณ์ของผู้นำฝรั่งเศส นาง ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวก็แถลงเป็นเชิงตอบโต้ว่า สหรัฐอเมริกายังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายต่อซีเรีย คือยังคงต้องการบดขยี้กองกำลังรัฐอิสลาม(ไอเอส)และดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ไอเอสฟื้นคืนกลับมาใหม่ แต่ยังต้องการนำทหารอเมริกันที่ซีเรียกลับประเทศให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และคาดหวังว่าหุ้นส่วนและพันธมิตรในภูมิภาคจะเข้ามารับผิดชอบในซีเรียเพิ่มมากขึ้นทั้งทางด้านการทหารและทางการเงิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image