มัลลิกาชี้ รัฐบาล”บิ๊กตู่-ยิ่งลักษณ์”รวมกันทำชาติเสียรายได้ภ.นำเข้าข้าวสาลี 4 หมื่นกว่าล.

เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน www.mallikafoundation.com แถลงว่า จากการเข้าเว็บไซต์ กรมศุลกากร ตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าวัตถุดิบข้าวสาลีซึ่งนำมาทดแทนข้าวโพด-มันสำปะหลัง-รำปลายข้าว ผลผลิตทางการเกษตรหลักของประเทศไทย ตั้งแต่มีการยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษี 27% สำหรับผลิตผลทางการเกษตรจากต่างประเทศ คือ ข้าวสาลี ที่มีการนำเข้า โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2555-2560 (การนำเข้าล่าสุดข้อมูลถึงเดือนพฤศจิกายน 2560) เป็นการบริหารยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ ยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

สามารถตรวจสอบข้อมูลได้มีปริมาณการนำเข้าข้าวสาลีทั้งเป็นส่วนของอาหารคนและในส่วนของอาหารสัตว์รวมการนำเข้า 17 ล้านตัน แสดงตัวเลขเฉลี่ยบาท/กิโลกรัมไว้บนเว็บไซต์ รวมเป็นมูลค่าการนำเข้าทั้งสิ้นร่วม 150,488 ล้านบาท และเมื่อมาคำนวณเป็นมูลค่าทางภาษีซึ่งปกติจะต้องจัดเก็บอยู่ที่ 27% ทำให้ประเทศชาติสูญเสียโอกาสในการจัดเก็บภาษีนำเข้าตามกฏหมาย ในส่วนข้าวสาลีอาหารสัตว์เป็นเงินมากกว่า 24,882 ล้านบาท แยกเป็นความเสียหายจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์เฉพาะเรื่องนี้ เป็นเงินภาษี 5,888 ล้านบาท จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 18,993 ล้านบาท และถ้ารวมการนำเข้าข้าวสาลีทั้งอาหารคนละอ่านสัตว์เป็นเงินภาษี 40,631 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขที่รัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และก่อนนั้นเคยสามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าได้เพื่อเป็นรายได้เข้ากระทรวงการคลังตามระเบียบและกฎหมายเพื่อนรวมเป็นค่าใช้จ่ายของประเทศชาติก่อนจะมาถูกยกเลิกในปี 2555 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์และสืบเนื่องมาจนกระทั่งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

” จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์โดยการนำทางเศรษฐกิจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้กลับไปใช้มาตรการจัดเก็บภาษีการนำเข้าพืชเศรษฐกิจจากประเทศอื่นทั้งนี้เพื่อเป็นรายได้ของประเทศชาติ ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนรวยไม่กี่คนอยู่เช่นนี้ ขอให้หยุดบั่นทอนชาติได้แล้ว” นางมัลลิกา กล่าว และว่า ขณะเดียวกันขอเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำลังพิจารณายกเลิกมาตรการซื้อผลผลิตข้าวโพดตามสัดส่วน 3:1 (นำเข้าหนึ่งส่วนต้องซื้อข้าวโพดสามส่วน) โดยจะเปลี่ยนมาเป็นมาตรการ 2:1 ตามข้อเสนอของกลุ่มอาหารสัตว์บางเครือนั้น ระวังจะขัดใจกับนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์เพราะเป็นคนอนุมัติให้ใช้สัดส่วน 3:1 แล้วทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดีขึ้นบ้างตามสมควรเพื่อแก้ไขปัญหากลบเกลื่อนกรณีไม่จัดเก็บภาษีนำเข้า หรือมาตรการภาษี 0%

Advertisement

เพราะถ้ามาแก้มาตรการสัดส่วนอีกเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีธงที่จะทำตามใจกลุ่มอาหารสัตว์ในเครือเจ้าสัว จะกลายเป็นร่วมกระทำการเอาเปรียบตั้งสองต่อ คือ ทั้งเอาเปรียบต่อชาติด้วยการใช้มาตรการภาษี 0% อยู่แล้วและจะเอาเปรียบต่อเกษตรกรกรณีแก้ไขสัดส่วนที่เป็นมาตรการบรรเทาทุกข์

นอกจากนั้นนางมัลลิกายังกล่าวได้ว่า เงื่อนไขที่ทางกลุ่มขายอาหารสัตว์เครือเจ้าสัวพยายามกรอกใส่หูรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และรองนายกรัฐมนตรีสมคิดนั่นคืออ้างว่าผลผลิตข้าวโพดในประเทศขาด แต่ข้อเท็จจริงคือยังไม่ได้นับผลผลิตการเกษตรตัวอื่นที่เป็นส่วนผสมสำหรับการทำอาหารสัตว์ร่วมด้วยนั่นคือทั้งมันสำปะหลัง รำปลายข้าว รวมทั้งข้าวโพดหลังนาที่มีการส่งเสริมให้ปลูกจากกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 700,000 ไร่และจากกรมปศุสัตว์อีกจำนวน 400,000 ไร่

“คำถามคือกระทรวงเกษตรกับกระทรวงพาณิชย์บริหารอยู่ในรัฐบาลเดียวกันไหมคุยกันบ้างหรือไม่ทำไมการทำงานของพวกท่านจึงสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอยู่ร่ำไป นี่ถ้ายังไม่หยุดคิดจะเอาเปรียบเกษตรกรไทย ดิฉันจะเดินทางไปขอข้อมูลจากประเทศโครเอเชียผู้ส่งออกข้าวสาลีมาให้ว่าการซื้อขายที่แท้จริงราคาที่รับซื้อจากที่นั่นราคาเท่าไหร่แล้วมาแสดงต่อกรมศุลกากรประเทศไทยในราคาเท่าใดต้องให้ทำขนาดนั้นไหม” นางมัลลิกา กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image