สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในการแถลงข่าวร่วมกันเมื่อวันอังคาร (24 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา และ ประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครง ของฝรั่งเศส ต่างให้คำมั่นที่จะแสวงหามาตรการที่เข้มแข็งกว่าในการควบคุมอิหร่าน ซึ่งอาจเป็นข้อตกลงใหม่ที่ผู้นำฝรั่งเศสชี้ว่าจะทำให้สหรัฐและยุโรปสามารถจัดการกับข้อห่วงกังวลสำคัญที่มีเกี่ยวกับอิหร่านนอกเหนือไปจากโครงการนิวเคลียร์ได้
ข่าวแจ้งว่า ในคำแถลงที่พาดพิงถึงอิหร่าน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงใช้วาทกรรมในการโจมตีข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านร่วมลงนามไว้กับชาติตะวันตกในปี 2015 ซึ่งทรัมป์ชี้ว่าไม่ได้ช่วยควบคุมอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของอิหร่านในตะวันออกกลางหรือจัดการกับโครงการขีปนวุธนำวิถีของอิหร่านได้ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวขู่ว่า หากอิหร่านคุกคามสหรัฐไม่ว่าจะด้วยวิธีใด อิหร่านจะต้องชดใช้เหมือนกับบางประเทศที่ต้องชดใช้มาแล้ว
ด้านนายมาครง ซึ่งมีภารกิจเยือนประเทศสหรัฐอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 3 วัน กล่าวว่า ตนได้หารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับ “ข้อตกลงใหม่” ซึ่งจะต้องครอบคลุมถึงโครงการขีปนาวุธนำวิถีและบทบาทของอิหร่านในตะวันออกกลาง
ข่าวแจ้งว่า ผู้นำฝรั่งเศสพยายามที่จะโน้มน้าวให้ผู้นำสหรัฐยึดมั่นในข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านไว้ต่อไป หลังจากก่อนหน้านี้นายทรัมป์ได้ขู่ที่จะถอนตัวไป ขณะที่ภายใต้ข้อเสนอใหม่ของนายมาครงระบุว่า สหรัฐและยุโรปจะเห็นพ้องกันในการสกัดป้องกันอิหร่านจากการดำเนินกิจกรรมด้านนิวเคลียร์จนถึงปี 2025 หรือเกินกว่านั้น จัดการกับปัญหาโครงการขีปนาวุธนำวิถีของอิหร่าน รวมถึงการแก้ปัญหาทางการเมืองเพื่อจำกัดอิทธิพลของอิหร่านในเยเมน ซีเรีย อิรัก และเลบานอน
ทั้งนี้ ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 เป็นการลงนามร่วมกันระหว่างอิหร่านกับกลุ่มพี5+1 และสหภาพยุโรป (อียู) โดยกลุ่มพี5 ประกอบด้วย 5 ชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ได้แก่ สหรัฐ ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน และรัสเซีย บวกด้วยเยอรมนี ภายใต้ข้อตกลงนี้อิหร่านจะต้องควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของตนเองเพื่อแลกกับการถูกยกเลิกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก
