บาทแข็งค่า10% กระทบรายได้-กำไร ‘เอสซีจี’ ไตรมาสแรกปี61

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทไตรมาส 1 /2561 ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทค่อนข้างมาก โดยเฉลี่ยค่าเงินบาทไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 10% หรือประมาณ 3.6 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทไตรมาส 1/2560 อยู่ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบเคมี ประกอบกับปีที่แล้ว บริษัทฯมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ 3,000 ล้านบาท จึงทำให้ในไตรมาสแรกบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 118,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 12,406 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 10% กระทบกับรายได้และกำไรของบริษัทในไตรมาส 1 ค่อนข้างมาก แต่จากภาพรวมธุรกิจทั้งความต้องการสินค้าในแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจแพคเกจจิ้ง รวมถึงธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในประเทศและภูมิภาคยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐก็มีความคืบหน้าชัดเจน บริษัทฯจึงเชื่อว่าปัจจัยค่าเงินบาทจะกระทบในระยะสั้นๆประกอบกับความเชื่อมั่นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำลังเข้ามาดูเรื่องค่าเงิน จึงยังคงเป้ารายได้ว่าจะเติบโตได้ 5-6% ”

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า  จากทิศทางของค่าเงินบาทที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ บริษัทจึงเตรียมความพร้อมในระยะยาว โดยการปรับปรุงความสามารถการแข่งขันให้สูงขึ้น ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้วางงบลงทุนไว้ 50,000-60,000 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2561 ใช้งบลงทุนไปแล้ว 9,000 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วในปีนี้จะเน้นการลงทุนในภูมิภาค โดยการวางแผนลงทุนปิโตรเคมีในเวียดนาม20,000 ล้านบาท คาดว่าจะสรุปแผนกลางปีและเริ่มดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังนี้

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติแต่งตั้งพล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เป็นประธานกรรมการบริษัทคนใหม่

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image