‘น้ำ’ดับไฟ‘ชีวิต’ โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

คนในยุคปัจจุบันต่างจากอดีตกาล มองย้อนเพียง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

วัยรุ่น เยาวชน หรือแม้วัยทำงานรู้จักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายอย่างเดียว ด้วยเหตุผลความเจริญของประเทศต่างๆ ทั่วโลก หรือแม้แต่ในไทยเราก็แข่งขันปากกัดตีนถีบ แย่งที่ทำกิน แย่งตลาด แย่งลูกค้า ยังผลนำมาสู่การแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ อิจฉาริษยากัน กลั่นแกล้ง กีดกัน แย่งลูกค้า รวมถึงการสร้างกลเม็ดการโกงที่แยบยล ยังผลให้นักธุรกิจบางรายล่มจม ล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัว จากที่เคยร่ำรวยเป็นเศรษฐี หลงวัตถุนิยม หลงเงินตรา หลงอำนาจ ความดีลืมหมดในด้านจิตใจไม่รู้จักแสวงหา “ธรรมะ” หล่อเลี้ยงจิตใจให้สุขสงบร่มเย็น

เดี๋ยวนี้ยิ่งอาการมันหนักขึ้นถึงกับว่าเราไม่รู้จักความทุกข์ อาการนี้จัดว่าหนักมากกว่า เรานี่ไม่รู้จักความทุกข์ ไม่รู้จักว่าเรามีความทุกข์แล้วจะดับทุกข์กันอย่างไร

ขั้นแรกสุด ก็ให้รู้จักว่า เรากำลังมีความทุกข์สิ่งที่เป็นปัญหารบกวนจิตใจทุกชนิดนั่นแหละ คือ “ความทุกข์” แม้จะเป็นอย่างเรื่อยๆ น้อยๆ ที่เรียกว่า “นิวรณ์”

Advertisement

“นิวรณ์” ช่วยรู้จักกันเสียทีเถอะ ผู้เขียนเชื่อว่าพวกเราไม่ค่อยใส่ใจไม่ให้ความสำคัญ ผ่านมาก็ผ่านไป ถ้าเริ่มเรียนรู้ก็จะรู้จักพุทธศาสนาง่ายขึ้น เช่น อยากจะมีจิตใจโปร่งเย็นสบาย ทำอะไรให้ได้ดีสะดวกสบาย เย็นอกเย็นใจ ต้องการอย่างนั้นแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีนิวรณ์ติดตัวอยู่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ มี 5 เรื่อง คือ

1.กามฉันทะ คือ มีความคิดนึกน้อมไปติดทางกามารมณ์รบกวนมาชิงเอาความโปร่งใจไป

2.พยาบาท คือ ความคิดที่น้อมนึกไปติดในทาง โกรธเคือง ขัดแค้น อาฆาตจองเวร

3.ถีนมิทธะ คือ จิตมันก็แฟบเสีย หดหู่ รบกวน

4.อุทธัจจกุกกุจจะ คือ จิตมันก็ฟูเสียจนฟุ้งซ่านเสีย

5.วิจิกิจฉา คือ ลังเล ไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่กำลังกระทำนี้ถูกต้องแล้ว

ขอให้สังเกตดูให้ดี เราลังเลอยู่ด้วยความไม่แน่ใจว่าถูกต้องแล้ว มันลังเลอยู่แต่ว่าไม่ถูกต้องไม่แน่ใจว่าหลักปฏิบัตินี้ถูกต้องแล้ว มันลังเลในตัว ลังเลในกฎระเบียบ กลัวผิดไม่มั่นใจเป็นอาการเริ่มแรกของหวาดวิตกขาดความมั่นใจในตัวเอง นี่…คือ ความทุกข์น้อยเนือยๆ ที่รบกวนจิตใจ ทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกๆ วัน แล้วเราก็ไม่สนใจภาวะจิตใจ นิวรณ์ของตัวเอง รวมทั้ง 3-4 ข้อ ที่เหลือน้อย ถ้าสนใจก็จะรู้สึกว่า สิ่งนี่ต้องกำจัดออกไปจากจิตใจ เราเสียโดยเร็ว…เพื่อเราจะได้มีจิตใจที่เยือกเย็นที่โปร่งที่แจ่มใส ที่สดใสจะมีชีวิตเยือกเย็น…สู่…สว่าง สะอาด สงบ

จึงขอร้องว่าให้สนใจที่จะต้องรู้จักข้าศึกที่เริ่มก่อตัว สิ่งนี้เป็นข้าศึกพื้นฐานที่สุดให้เราทุกคนได้รู้จักใส่ใจเฝ้าระวังอย่าให้มี อย่าให้เกิด หากไปปล่อยไว้สิ่งที่ตามมานอกจากเสียบุคลิกภาพ เพราะขาดความมั่นใจ ครุ่นคิด พะวง มันจะค่อยสะสมนิวรณ์ดังกล่าวนำไปก้าวข้ามเข้าสู่ภาวะ ราคะ โทสะ โมหะ รุนแรงขึ้นตามลำดับ ขออย่าได้สะสมไว้เลย

“การกำจัด” เบื้องต้นเพียงสนใจทำ “สมาธิ” บ้าง สิ่งนั้นๆ จะหายไปก็ได้ จิตใจก็จะโปร่ง สดใส เยือกเย็นมาแล้วก็จะเกิดความมั่นใจ บุคลิกดีๆ ก็กลับมา แล้วก็ทำอะไรได้เป็นที่พอใจ

นิวรณ์ แปลว่า สิ่งที่มากลุ้มรุมจิตให้สูญเสียความปกติหรือความสุข โดยหลักใหญ่มี 5 ความรู้สึก คือ น้อมไปทางกาม น้อมไปเกลียดชัง น้อมไปทางความรู้สึกที่หดหู่เหี่ยวแห้งแฟบลงไป ความรู้สึกที่จิตฟูพองขึ้น ฟุ้งซ่าน เตลิดเปิดเปิง ทำอะไรไม่ได้ น้อมไปทางความไม่แน่ใจ ลังเล สงสัยว่านี่ถูกแล้ว แม้สิ่งที่ปฏิบัติไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ถูก ทบทวนก่อนอยู่บ่อยๆ ทั้ง นิวรณ์นี้เครื่องมือที่จะช่วยขจัด คือ “สติ” ฉะนั้นต้องศึกษาให้รู้ว่าสิ่งนี้ คือต้นตอ ต้นเหตุเบื้องต้นพื้นฐาน มันเป็นความทุกข์พื้นฐานมีสติระลึกได้ว่าเป็นความทุกข์พื้นฐานต้องพยายามเฝ้าระวังขจัดที่จะไม่ให้มันเกิดด้วยสร้างความเข้าใจ สร้างทักษะ (คือ สติ สมาธิ) จนเป็นองค์ความรู้ ก็คือ “ปัญญา” ที่จะขจัดออกไปเป็นหลักที่จะให้รอดได้ในทางพุทธศาสนา

ความหมายของ “ธรรม คือ หน้าที่” : สิ่งหนึ่งคำสุดท้ายที่จะต้องทำความรู้จักความหมายอย่างถูกต้องตรงจุดคือ คำว่า Apply คือ จะจัดการให้เป็นประโยชน์ได้ คำนั้น ก็คือ ธรรมะหรือพระธรรม

“ธรรม” โดยความหมายอันแท้จริงนั้นแปลว่า Duty สั้นๆ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ แปลว่า Duty นั้น ถ้าแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่พุทธทาสท่านบอกว่านี้มันถูกนิดเดียว เพราะว่ามันมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ครั้งพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ท่านก็ปรับปรุงความหมายของคำว่า ธรรมนี้ให้ดียิ่งขึ้น แต่แล้วก็เรียกว่า ธรรมเหมือนกันหมด

ศาสดาตั้งหลายองค์ คู่แข่งของพระพุทธเจ้าก็มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมเหมือนกัน สอนประชาชนอยู่ ประชาชนเขาพูดตามความกันว่า…ท่านชอบธรรมะของใคร ท่านชอบธรรมของใคร หมายความว่า ท่านชอบธรรมของพระสมณโคดม หรือของ นิคันถนาฏบุตร มักขลิโคสาล

ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ หน้าที่จึงเกิด 2 ขั้นตอน คือ หน้าที่เพื่อให้รอดตายอย่างหนึ่ง หน้าที่เพื่อให้รอดจากความทุกข์ทุกชนิดนี้อย่างหนึ่ง สิ่งที่มีชีวิตทุกชีวิตต้องมีหน้าที่ต้องทำหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่มันตาย ถ้าไม่ทำจะเกิดทุกข์ ถ้าได้ทำหน้าที่ก็ขอให้รู้สึกว่า ธรรมะ นับตั้งแต่จะหาอาหารกิน จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระก็เป็นหน้าที่ ถ้าไม่ทำลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็จะตาย มันจะเป็นทุกข์

ท่านสอนเป็นเรื่อง “ศีล สมาธิ ปัญญา” เรื่องอะไรก็ตาม คือบอกเรื่องหน้าที่ว่าจะต้องทำอย่างนั้นๆ ดังนั้น ขอให้สนใจทำแล้วก็ภาคภูมิใจอย่างยิ่งเมื่อได้ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยรู้สึกว่านี้คือ การปฏิบัติธรรม ทุกท่านมีหน้าที่อย่างไรก็ทำให้ดีที่สุด

ชาวนาได้ทำนาอยู่นั้นคือ ธรรมะของเขา ชาวสวน พ่อค้า ข้าราชการ คนกวาดถนน คนแจวเรือจ้าง คนเป็นทหาร คนเป็นนายกรัฐมนตรี นักเรียน นักศึกษา ทุกๆ คนทุกอาชีพ ก็มีธรรมะของเขา คนเราเป็นมนุษย์มีหน้าที่อย่างมนุษย์ก็อย่าได้บกพร่อง

สัตว์ สัตว์เดรัจฉานก็มีหน้าที่อย่างสัตว์เดรัจฉาน ดูเถอะมันทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่องเลย ไม่ต้องมีใครเลี้ยง มันก็อยู่ได้เพราะมันทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ

ส่วนต้นไม้ทำหน้าที่ได้อย่างน่าเลื่อมใส ต้นไม้ชุ่มชื่น สดชื่น เยือกเย็นอยู่อย่างนี้ในสภาพที่ประจักษ์ตาอยู่ มันก็ทำหน้าที่ ได้ยินว่าต้นไม้คายออกซิเจนทั้งวัน ให้เราได้รับออกซิเจน กลางคืนคายคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งคืน ถ้าแปลว่าต้นไม้ทำงานวันละ 24 ชั่วโมง…ส่วนคนทำได้ที่ไหน ใครทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ทำงานสัก 8 ชั่วโมงก็บ่นแล้ว เรียก “ธรรมชาติ” แท้มันมีหลักเกณฑ์กำหนดได้ตายตัว ต้องทำหน้าที่ถูกต้องตามควรจะทำในขั้นแรกก็รอดชีวิตได้ ในขั้นที่สองจะต้องดียิ่งๆ ขึ้นไปจนอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง

ฉะนั้น เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วขอให้ภาคภูมิใจแล้วก็อย่าดูหมิ่นดูถูกหน้าที่ บางเวลาช่วยทำหน้าที่ กวาดบ้าน ถูบ้านเรือนเสียบ้าง แม้จะเป็นครูอาจารย์แล้วก็ลองดู แม้ล้างจานล้างชามล้างถ้วย ล้างกระโถน ล้างส้วม ถ้ามองในแง่หน้าที่แล้วนั้นก็จะพอใจเพราะมีธรรมะ มีธรรมะเมื่อใดจะพอใจเมื่อนั้น มีธรรมะเมื่อใดก็จะเป็นสุขเมื่อนั้น

เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยทำหน้าที่ แล้วก็เรียกร้องสิทธิหวังจะได้เงินเดือนโดยไม่ต้องทำหน้าที่ พอทำหน้าที่ก็ทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เอาเปรียบตลอดเวลา ทำงานเพราะความจำใจ ไม่ทำเพราะรักหน้าที่ เปลี่ยนเสียทีเถอะ เกี่ยงตัวเองว่าทำหน้าที่เป็นเสมือนเป็นหัวหน้าเป็นอะไรกระทั่งเป็นกรรมกร

คนเรามีหน้าที่ทำหน้าที่ของเราจะทำได้ตลอดทั้งวัน ตลอดเวลาถ้าอยู่ในออฟฟิศทำงาน อยู่ที่บ้านทำงานบ้าน แล้วก็มีความพอใจในทุกเวลาทุกวันได้ทำหน้าที่เช่นเดียวกัน ถ้าเหนื่อยก็ต้องพักต้องนอน ถ้าเหนื่อยนักก็ต้องพักผ่อน นี่ก็เป็นหน้าที่ การออกกำลังกายก็เป็นหน้าที่ของคนด้วย พักผ่อนให้เพียงพอหรือออกกำลังกายที่สม่ำเสมอเพียงพอ ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อทำหน้าที่โรคภัยไข้เจ็บไม่มีไม่เกิดก็ไม่เป็นโรคไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นโรครวมทั้งการมีอารมณ์ดีด้วยการกราบไหว้พระนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิก็เป็นหน้าที่มนุษย์ที่ต้องทำเพื่อให้สุขภาพจิตใจดี นอกจากสุขภาพกายแล้ว กล่าวได้ว่าทำหน้าที่ทั้งหลับและตื่นตลอดวัน ก่อนจะนอนยกมือไหว้ตัวเอง ก่อนจะลงนอนที่ทำหน้าที่ได้ครบถ้วนไม่บกพร่องอะไรเลย ยกมือไหว้จรดหัว คือ ยกมือไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ บิดามารดาพร้อมหมดเลย นั่นคือ สวรรค์ที่แท้จริง ความถูกต้อง กาย วาจา ใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจถูกต้องที่ใจ นั่นคือ สวรรค์ที่แท้จริง ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไรเป็นสวรรค์ที่แท้จริง เกลียดชังตัวเองเมื่อไรเป็นนรกนั่นเอง

สรุปเบื้องต้นได้ว่า หน้าที่ซึ่งทุกอย่างมันเป็นไปเพื่อดับทุกข์เพื่อรอดตายและเพื่อดับทุกข์ นั่นก็เป็น “หลัก” หรือว่าเป็น “แก่น” ของพระพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน

สภาวะอันแท้จริงของพระพุทธศาสนาแล้วในโลกนี้ยังมีศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 คือ ศาสนาที่ถือว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างผู้บันดาลเหตุการณ์ทั้งหลาย สุขและทุกข์มาจากพระเจ้า มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง สร้างโลกและสร้างทุกสิ่ง ประเภทที่ 2 ไม่ถืออย่างนั้น คือจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นขั้นๆ มาตาม… “กฎของธรรมชาติ” ที่ในพุทธศาสนาเรียกว่า “กฎอิทัปปัจจยตา” ไม่ได้มีพระเจ้าที่เป็นบุคคลตัวตนอะไรสร้างขึ้นมา ความสุขและความทุกข์มันเป็นไปตามการปฏิบัติผิดหรือปฏิบัติถูกต่อกฎ อิทัปปัจจยตา มันมีความต่างกันอย่างนี้ ถ้าพูดเป็นสากลเขาก็แบ่งศาสนาเป็น 2 พวก คือ พวกแรกมีพระเจ้าสร้างนี้เรียกว่า creationist คือ พวกที่ถือว่ามีผู้สร้างมีบุคคลผู้สร้าง อีกพวกหนึ่งเรียกว่า evolutionist คือ วิวัฒนาการขึ้นมาเองตามกฎของธรรมชาติ

ถ้าเรียกคนทั้งโลกมาตามความหมายเดียวกันว่าท่านเป็นพวกใหม่ เราก็ตอบว่าเป็นพวก evolutionist ในเมื่อพวกอื่นเขาเป็น Creationist ง่าย คือ พวกมีพระเจ้ากับพวกไม่มีพระเจ้า (มีแต่การวิวัฒนาการขึ้นมาตามกฎธรรมชาติ) แค่มีกฎของธรรมชาติเป็นผู้สร้าง และนี่ก็ได้ความว่าศาสนาพวก creationist ต้องมีศรัทธา เรียกว่า faith พวกคือ evolutionist นี้เห็นอยู่ด้วยปัญญาเป็นอย่างยิ่งอย่างสันทิฎฐิโก ตามหลักของพระธรรมที่ว่า สวากขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฐิโก ต้องเห็นชัดเป็นสันทิฎฐิโกอย่างนั้นไม่ต้องอาศัยความเชื่อที่งมงายเป็นพุทธศาสนาต้องมีสติปัญญา เป็นไสยศาสตร์มีแต่ศรัทธา ดังเช่น ก.ข. ก กา ของพุทธศาสนานั้น เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าได้ประมาท อย่าได้ดูถูกเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเอาไปหัวเราะเยาะ ไปล้อซึ่งเด็กๆ โดยมากไม่ค่อยรู้เรื่องความสำคัญของ “ธรรมะ” ที่พูดเรื่อง “ถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาต้องเริ่มที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ” ตามที่ผู้เขียนได้เขียนบทความอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นสำคัญยิ่งนักและที่สุดด้วย เพราะเป็นจุดตั้งต้น ต้นตอ ต้นเหตุของทุกอย่างทุกเรื่องในโลกนี้จะเกิดการขัดแย้งเกิดศึกสงครามหรือสันติสุขสันติภาพใดๆ ก็ตามมีขึ้นมาได้ก็เพราะว่า เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันเข้ามาถูกเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องจัดการ (Apply) กับโลกนี้ให้ถูกต้องมีสติทุกคราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้

ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ทุกอย่างเป็นธรรมะเสมอกันทั้งหมดแล้วก็ขอให้สนุกเป็นสุข เมื่อทำหน้าที่ของทุกคน สนุกเมื่อทำงานเป็นสุขเมื่อทำงาน “ปัญหา” จะไม่เกิด เงินเดือนจะเหลือใช้จนไม่รู้จะเอาไปไหนเพราะมันเป็นสุขเสียแล้ว “ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ” หรือที่เรียก “กฎอิทัปปัจจยตา” เฝ้าระวังขจัดต้นเหตุ จุดตั้งต้นของทุกเรื่อง ก็คือ ต้องจัดการด้วยการมี “ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน” นั้นก็คือ ตั้งสติไว้ตรงสภาวธรรมเกิดขึ้นทั้งหกทาง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นภูมิฐานของ “วิปัสสนา” ซึ่งก็คือ “น้ำสำหรับดับไฟในชีวิต” ด้วยตัว “ปัญญา” ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image