ผู้เขียน | ภัทรมณี |
---|
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหา “โครงสร้างประชากร” เนื่องจากประชากรมีอายุยืนยาวมากขึ้น เป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศยังไม่จัดอยู่ในระดับประเทศรายได้สูง แตกต่างจากประเทศอื่นที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยที่มีรายได้ค่อนข้างดี
ขณะที่อัตราผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2564 ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ทว่าอัตราการเกิดใหม่กลับ “สวนทาง” ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2506-2526 มีเด็กเกิดใหม่มากกว่าปีละ 1 ล้านคน แต่ปัจจุบันเหลือ 7 แสนคน
การเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ “สังคมผู้สูงอายุ” จึงสำคัญยิ่ง
ล่าสุด นางธนาภรณ์ พรหมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 3/2561 เตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบสังคมสูงวัยเป็นระเบียบ “วาระแห่งชาติ” เพื่อรองรับการทำงานอย่างบูรณารองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะนำเสนอ ครม. เพื่อให้เห็นชอบในเดือนสิงหาคมนี้
เรียกว่า ต้องเร่งมือกันแล้ว เพราะระยะเวลาอีก 3 ปีกว่าๆ ไม่ได้นานเลย แป๊ปเดียว จะทำอะไรก็คงต้องรีบๆ ทำ
แต่ที่ไม่ต้องรอและจะมีผลเลย ที่ทำให้ผู้สูงอายุผู้มีรายได้น้อย “แช่มชื่น” ขึ้นมาได้บ้าง กับ “มาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย”
โควต้านี้เน้นช่วยเหลือเฉพาะ “ผู้สูงอายุที่อยู่ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” เท่านั้น
ไม่ใช่ช่วยเหลือ “ทั่วประเทศ” แต่ช่วยเหลือ 4 ล้านคน
ก็เท่ากับว่า ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ จะได้รับเงิน 2 เด้ง!!
ช่องทางแรกมาจาก “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ที่ได้รับทุกเดือน เดือนละ 600-1,000 บาท ตามขั้นบันไดอายุ อายุมากก็ได้มาก อายุน้อยก็ได้น้อย
ช่องทางที่ 2 มาจาก “โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งได้ประมาณ 300-500 บาทต่อเดือน มากน้อยตามรายได้ต่อปี
โดยจะได้รับเป็นบัตร EMV ไปใช้ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สิ่งค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม รวมถึงส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ส่วน “เงินเพิ่ม” ที่ได้จากมาตรการใหม่ จะได้เพิ่มขึ้นมาอีก 50-100 บาท แยกตามเกณฑ์รายได้
ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับเดือนละ 100 บาท
ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 1000,000 บาท จะได้รับเดือนละ 50 บาท
โดยมาตรการครั้งนี้ จะให้เป็น “เงินสด” ที่ผู้สูงอายุจะต้องนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยเพื่อลงทะเบียน “กดเงินสด” ที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย
ระยะแรกจะจัดสรรให้ 3 เดือนก่อน ตั้งแต่กรกฎาคม-กันยายน 2561 ดีเดย์จัดสรรเงิน 15 กรกฎาคมนี้
ก็ถือเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ที่สำหรับผู้สูงอายุแล้ว ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากลงได้ แต่ถึงอย่างนั้น คนวัยนี้ก็ต้องการความยั่งยืนที่สุดท้ายแล้วสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยไม่เป็นภาระของคนในครอบครัวและสังคม
ก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายของรัฐบาลที่จะทำอย่างไรที่จะขับเคลื่อนสังคมผู้สูงอายุให้เกิดความยั่งยืนได้