ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | พันธศักดิ์ รักพงษ์ |
อยู่ๆก็เกิดการปูดข่าวว่า รัฐบาลกำลังเห็นชอบแนวคิดปรับวิธีแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆโดยใช้วิธีพิเศษแต่งตั้ง“ผู้ว่าฯซีอีโอ”
พร้อมมีข่าวหยั่งเชิงว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไฟเขียวให้ความเห็นชอบแล้วด้วย
หากมีการผุดไอเดีย “ผู้ว่าฯซีอีโอ” จริงเท่ากับว่ารัฐบาลกำลังลอกการบ้าน“ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง
มีการอ้างเหตุผลต่างๆนานา อาทิ จังหวัดใหญ่ งบประมาณมากให้ผู้ว่าฯอายุ50ปีต้นๆอยู่ในวาระได้ 4 ปีเพื่อเป้าหมายเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ
แต่ก็มีเสียงท้วงติงว่า การแต่งตั้งด้วยวิธีพิเศษไม่แตกต่างกับการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ
ล่าสุด มีข่าวปล่อยออกมาว่า กำลังเล็งคนนอกโดยเฉพาะคนจากทำเนียบรัฐบาลเข้ามาข้ามหัวคนมหาดไทย พร้อมตั้งข้อสังเกตจนกลายเป็นประเด็นการเมืองว่า
การใช้วิธีพิเศษแต่งตั้งคนของตัวเองในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งส.ส.ปีหน้าเปรียบเสมือนแผนกินรวบ เล่นพรรคเล่นพวก วางฐานอำนาจเพื่อสืบทอดอำนาจด้วย
หากย้อนอดีตถึงที่มาที่ไปของแนวคิดผู้ว่าฯซีอีโอ เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย ปี 2544 เป็นการนำคำสองคำที่ใช้เรียกผู้บริหารมารวมกัน นำคำว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัด”
ถือเป็น ผู้บริหารสูงสุดของจังหวัดในระบบราชการ ส่วน”ซีอีโอ” มาจาก “Chief Executive Officer” หรือหัวหน้าคณะผู้บริหาร ในระบบธุรกิจ มาผสมกัน
ระหว่างปี 2544-2545 ได้จัดทำโครงการทดลองแนวคิดซีอีโอไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัด และในจังหวัดเปรียบเทียบอีก 5 จังหวัด
และในปี 2546 รัฐบาลไทยรักไทยเดินหน้าจะนำแนวคิดซีอีโอ มาปรับใช้กับการบริหารงานภาครัฐในระดับจังหวัดทั้ง 75 จังหวัด โดยผู้ว่าฯซีอีโอทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของรมว.มหาดไทย
มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นในการบริหารงาน คน และเงิน มีการจัดสรรงบพิเศษ เรียกว่า “งบผู้ว่าซีอีโอ” แต่ก็ล้มพับแผนไปหลังรัฐบาลถูกรัฐประหาร
แม้จะเป็นแนวคิดของ”ทักษิณ” แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เคยมีเสียงร่ำๆอยู่เสมอว่ากำลังฟื้นแนวคิดนี้ เพราะเคยพูดในหลายๆเวทีว่า รัฐบาลทำธุรกิจไม่ได้
ขณะที่เอกชนก็บริหารราชการแผ่นดินไม่ได้เพราะความรู้ความชำนาญไม่เหมือนกัน
ยิ่งรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายแนวทางการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ อาทิ การจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี (เงินกู้)
จำนวนหลายหมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับกลุ่มจังหวัดจากเดิม 300-500 ล้านบาทเพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท หรือเพิ่มกว่า10เท่าตัว
เพื่อสอดรับศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ สนับสนุนภาคเศรษฐกิจให้เกื้อหนุนภาคสังคม ตามนโยบายวิสาหกิจชุมชน ประชารัฐ และผลิตภัณฑ์โอทอป
อย่าลืมว่า มือเศรษฐกิจข้างกาย “บิ๊กตู่” ก็เคยทำงานเคียงคู่ “ทักษิณ”มาแล้วเช่นกัน
ดังนั้นหลายๆนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็ล้อๆหรือสอดประสานไปกับแนวทางประชานิยม เปลี่ยนแค่ชื่อ
แต่เนื้อในก็หวังผลการเมืองไม่ต่างกันนัก…