ผู้เขียน | จุไรรัตน์ พงศาภิชาติ |
---|
บรรลุข้อตกลงในที่สุด สำหรับโครงการแก้ “หนี้สินครู” และปัญหาความ “ขัดแย้ง” ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และธนาคารออมสิน เกี่ยวกับการตีความเอ็มโอยู เรื่องวิธีการ และขั้นตอนการหักเงินจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) เพื่อชำระหนี้แทนผู้กู้ที่ค้างชำระเกิน 3 งวดขึ้นไป
ซึ่ง “ยืดเยื้อ” มายาวนานหลายปี
ขณะที่ ศธ.เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ก็ได้พยายามเจรจากับผู้บริหารธนาคารออมสิน เพื่อ “ทวงคืน” เงินที่หักจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ไปอย่างไม่ถูกต้อง
โดย ศธ.ตีความว่าธนาคารออมสิน ไม่มีสิทธิหักเงินจากกองทุนดังกล่าวเพื่อมาชดใช้แทนครูที่ค้างชำระหนี้เกิน 3 งวด
แต่ฝ่ายธนาคารออมสินยืนยันว่าทำได้ และเดินหน้าหักเงินจากกองทุนดังกล่าวเพื่อใช้หนี้แทนครูที่ค้างชำระไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท
แม้จะมีการเจรจาระหว่างผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และธนาคารออมสิน หลายครั้งหลายครา จนท้ายที่สุดได้ “ฉีก” เอ็มโอยูฉบับเจ้าปัญหาทิ้ง และร่างเอ็มโอยูฉบับใหม่ขึ้นมาแทน
แต่รายละเอียดของเอ็มโอยูฉบับใหม่ ก็ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดของการแก้ข้อขัดแย้งต่างๆ ทั้งการแก้ปัญหาหนี้สินครู การใช้หนี้แทนครูที่ค้างชำระ และการปล่อยกู้ให้กับครู
ล่าสุด การหารือร่วมกันระหว่าง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.และ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน โดยได้ข้อสรุปร่วมกันใน 4 ประเด็น ดังนี้
1.ธนาคารออมสินจะคืนเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่หักจากเงินกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ให้ สกสค.เนื่องจาก สกสค.ร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรม และมีหลักฐานชัดเจน
2.ครูประมาณ 4,000 คนที่เป็นหนี้วิกฤต มียอดหนี้รวม 380 ล้านบาท ที่เข้าข่ายอาจถูกยกเลิกสัญญา และถูกธนาคารฟ้องคดี ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้
3.เงินกองทุน ช.พ.ค.ที่ธนาคารออมสินนำเงินส่วนนี้มาค้ำประกันเงินกู้ของครู สรุปว่าธนาคารพร้อมเปลี่ยนหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน หากครูนำหลักทรัพย์อื่นมาค้ำประกันแทนเงิน ช.พ.ค.
และ 4.การทำประกันสินเชื่อ ได้ข้อสรุปว่าธนาคารออมสินยินยอมให้ สกสค.เป็นตัวกลางหาบริษัทประกันใหม่มากกว่า 1 บริษัท โดยยึดหลักว่าผู้กู้เลือกบริษัทที่ทำประกันเองได้
หากดูข้อตกลงร่วมกันในครั้งแล้ว น่าจะ “ตอบโจทย์” ในการแก้ปัญหาหนี้สินครูได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะครูที่เข้าข่าย “หนี้วิกฤต” และธนาคารจ่อฟ้องร้อง ที่ขณะนี้ยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 1,553 คน
แต่ยังเหลือครูที่หนี้วิกฤตอีกกว่า 2,500 คน ที่ยังไม่ติดต่อมา
ส่วนการกู้เงินจากธนาคารออมสิน ที่มีเสียงคร่ำครวญจากคุณครูทั้งหลายว่า “เงื่อนไข” เยอะ โดยขอให้ยกเลิกการเอาเงินกองทุน ช.พ.ค.ค้ำประกัน เพราะอยากให้ทายาทให้รับเงินก้อนเมื่อเสียชีวิตในอนาคต ซึ่งธนาคารก็ยินยอมให้เอาหลักทรัพย์อื่นมาค้ำประกันแทนได้ เช่น บ้าน รถ ที่ดิน เป็นต้น โดยให้ครูปรับเปลี่ยนหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
หรือการทำ “ประกันสินเชื่อ” ซึ่งเดิมผูกขาดกับบริษัททิพยประกันภัยเพียงบริษัทเดียว ทางธนาคารออมสินก็ยินยอมให้ สกสค.หาบริษัทประกันอื่นๆ ที่ดี และถูกที่สุด มาทำประกันให้ผู้กู้ได้
ขณะที่ สกสค.เอง จะได้รับเงินที่ธนาคารหักจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ คืนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารได้ทยอยคืนเงินล็อตแรกมาแล้ว 2,000 ล้านบาท และจะทยอยคืนในส่วนที่เหลือ ถ้าพบว่าการหักเงินไม่ถูกต้อง โดย สกสค.จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตครูต่อไป
แต่ดูเหมือนข้อตกลงระหว่าง สกสค.และธนาคารออมสิน จะยังไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย ที่ประกาศ “ปฏิญญามหาสารคาม” หรือ “ปฏิญญาเบี้ยวหนี้”
เพราะมองว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
โดยอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อครูยื่นต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้แต่งตั้งกรรมการร่วมกันระหว่างภาครัฐ และองค์กรครู เพื่อแก้ไขหนี้สินครู
ซึ่งผู้บริหาร สกสค.ยืนยันว่า ได้หาแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินครูแล้ว
แต่ถ้าครูกลุ่มไหนมี “ข้อเสนอ” ที่ดีกว่านี้ สกสค.ก็ยินดีรับ
ต้องรอดูกันว่า กลุ่มเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย จะมีข้อเสนออะไรมาสร้างความฮือฮา เหมือนตอนประกาศปฏิญญาเบี้ยวหนี้..หรือไม่??