ผู้เขียน | นายด่าน |
---|
สร้างความฮือฮาไม่น้อย หลัง “หมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการศธ. ออกมาประกาศว่า
“ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไปครูไม่ต้องทำงานธุรการ โดยได้เตรียมงบประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท เพื่อจ้างครูธุรการและภารโรงให้ครบทุกโรงเรียนทั่วประเทศ”
เหตุผลหลักเพื่อเดินหน้าปฏิรูปให้ครูได้สอนหนังสืออย่างเต็มที่
การจ้างครูธุรการในโรงเรียนไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเพราะโครงการนี้มีมากว่า 10 ปีแล้ว โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือ “สพฐ.” ตั้งงบฯจ้าง14,532 อัตรา ยังไม่ครอบคลุมโรงเรียนสังกัดสพฐ. 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ
อัตราค่าจ้างครูธุรการอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน หากจะจ้างครบทุกโรงเรียนตามที่ “หมอธี” ประกาศไว้จะต้องใช้งบมากถึง 5,000 กว่าล้านบาท
ปัจจุบันครูในโรงเรียนมีจำนวนชั่วโมงสอนและภาระงานที่เกี่ยวข้องการเรียนการสอนค่อนข้างสูง 20 กว่าชั่วโมงต่อสัปดาห์ ครูบางโรงเรียนที่ครูขาดแคลนอาจสูงเกิน 30 กว่าชั่วโมง
ในขณะที่เกณฑ์การประเมินผลงานวิทยฐานะของก.ค.ศ.กำหนดจำนวนชั่วโมงการสอนและภาระงานฯ ไม่ต่ำกว่า 12-18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามระดับและประเภทการศึกษา
การจัดสรรงบฯดังกล่าวถือว่าลดภาระครูได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในโรงขนาดเล็ก และโรงเรียนที่ขาดแคลนครู ที่มีภาระงานสอนอันหนักอึ้ง
นอกจาก”งานธุรการ” แล้ว “งานทะเบียนและวัดผล” เป็นอีกส่วนที่มีเสียงสะท้อนว่าเป็นภาระค่อนข้างมาก ของครู
หลายโรงเรียนไม่มีเจ้าหน้าที่ในส่วนนี้ เนื่องจากระยะหลังไม่ได้มีการจัดสรรตำแหน่งในส่วนนี้ให้โรงเรียนมากนัก
จึงมีความคาดหวังที่จะเห็นศธ.ปลดล็อกในส่วนนี้
ครูธุรการถือว่าช่วยลดภาระของครูได้ค่อนข้างมาก แม้จะมีการจ้างมายาวนานกว่า 10ปี แต่ครูธุรการยังไม่มีความมั่นคงในอาชีพ เป็นแค่อัตราจ้างปีต่อปีงบประมาณเท่านั้น
ที่ผ่านมาจึงมีเสียงเรียกร้องให้มีการบรรจุเป็นพนักงานราชการ และการปรับเพิ่มสวัสดิการต่างๆ ในหลายรัฐบาลแต่ไม่เป็นผล
หาก”หมอธี”ตั้งใจที่จะเดินหน้าเรื่องนี้แล้ว การลดภาระงานครูจากงานธุรการ และการสร้างความมั่นคงแก่ครูธุรการ
จึงควร ต้องเดินหน้าปลดล็อกไปพร้อม ๆ กัน