กระแสข่าวจากกลุ่มพรรคเพื่อไทย เรื่องการตั้งพรรคเพื่อรองรับอดีตส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ในชื่อว่า “ไทยรักษาชาติ” อักษรย่อว่า ทษช. ไม่ใช่ ทรช.
ตามข่าวไม่ได้บอกว่าพรรคนี้จะเปิดตัวเมื่อใด และมีใครเป็นหัวหน้าพรรค ข่าววงในจากต่างแดนยังบอกด้วยว่า สำหรับส.ส.เขตของเพื่อไทยคงจะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อธรรมที่แต่งตัวรอไว้ก่อนแล้ว
เท่ากับเพื่อไทยไม่ใช่แค่แยกร่างเป็นหลายพรรค แต่ยังเตรียมความพร้อมจะยุบตัวเองหรือโดนยุบ ด้วยข้อกล่าวหาถูก”ครอบงำ”
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวระดับสูงของเพื่อไทยก็ย้ำผ่านสื่อบางสำนักว่า เพื่อไทยลงตัวแล้ว จะมี “วิโรจน์-สุดารัตน์” ถือธงนำ โดยเจ้าแม่กทม.จะผันตัวเองไปเป็นแคนดิเดตนายกฯแต่เพียงผู้เดียว
พรรคเพื่อชาติ แม้จะเดินหน้าได้ แต่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับเพื่อไทย ส่วนเพื่อธรรมก็เป็นเพียงอะไหล่ที่ไม่ต้องใช้ สู้ด้วยเพื่อไทยพรรคเดียวให้ได้ 200 เสียงขึ้นไปเป็นพรรคใหญ่สุด เพื่อจะได้มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล
ข่าวที่ออกจะย้อนแย้งกันในที่ ยังไม่มีนักการเมืองพรรคเพื่อไทยออกมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนทุกประเด็น บางเรื่องอาจจะฟังจาก พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่เพิ่งออกมาอรรถาธิบาย
แต่ในภาพรวมยังดูจะกลายเป็นความสับสนอยู่ไม่น้อย น่าจะรวมถึงบรรดานักการเมืองของเพื่อไทยเองด้วย
ผู้สมัครเพื่อไทยในหลายเขตกำลังวิตกว่าเสื้อแดงที่จะลงสมัครในนามเพื่อชาติกำลังจะตัดคะแนนตนเอง โดยเฉพาะเขตที่มีเสื้อแดงหนาแน่นก็ยิ่งน่าเป็นห่วง จะบอกว่าเพื่อชาติบาดหมางกับนายใหญ่ก็ฟังยากเพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อชาติก็ได้ชื่อว่าแน่นแฟ้นกับนายใหญ่มาช้านาน
สภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะพบว่า มีการให้ข่าวอนาคตของพรรค จากแหล่งข่าวสองแนวทาง ซึ่งเท่ากับสะท้อนยุทธศาสตร์ที่ต่างกัน
คือทางหนึ่งยอมรับปัญหาที่เกิดจากระบบเลือกตั้งที่ทำให้พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยเสียเปรียบ คือยิ่งได้ส.ส.เขตมากก็จะยิ่งได้ปาร์ตี้ลิสต์น้อยหรือไม่ได้เลย จึงคิดตั้งพรรคใหม่ขึ้นเพื่อเก็บคะแนนจากเขตที่สอบตกมาเป็นปาร์ตี้ลิสต์
ขณะที่อีกทางหนึ่งไม่เห็นความจำเป็นดังกล่าว แต่เห็นว่าควรสู้ด้วยพรรคเดียวเท่านั้น
การมีความคิดทางยุทธศาสตร์ที่ต่างกันอย่างนี้ทำให้น่าคิดว่าถ้าเกิดพรรคใหม่ขึ้นมาจริง พรรคนั้นจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเป็นเครือข่ายเดียวกันกับเพื่อไทย
ตามข่าวบอกว่าจะมีดีเอ็นเอของเพื่อไทย แต่ถ้าแกนนำของพรรคส่วนใหญ่ไม่ไปอยู่ด้วย พรรคใหม่จะเสนอตัวว่าเป็นเครือข่ายของเพื่อไทยได้อย่างไร แล้วใครจะเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ผู้สมัครเขตต่างๆจะมาจากไหน
ส่วนการจะยกขบวนกันไปอยู่เพื่อธรรมก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ผ่านมาแกนนำของพรรคเพื่อไทยก็ออกมาย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบ แล้วจะมีเหตุปัจจุบันทันด่วนอะไรมาเป็นข้ออ้างในการย้ายไปอยู่เพื่อธรรม
ยุทธศาสตร์ทั้งสองแนวทาง น่าจะมีปัญหาไปคนละแบบ คือ ถ้าสู้ด้วยพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว นอกจากมีคะแนนตกน้ำจำนวนมากและไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว
ยังสุ่มเสี่ยงต่อการยุบพรรค ถ้าเกิดยุบขึ้นมาก็เสียหายทั้งหมด
อีกแบบหนึ่ง คือการสร้างพรรคใหม่ ก็มีปัญหาการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักในเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะถ้าเพื่อไทยยุบตัวเอง ความเห็นใจจากการถูกรังแกก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะคราวนี้จะแตกต่างจากกรณีพรรคไทยรักไทยหรือพลังประชาชนที่ถูกยุบแล้วค่อยย้าย ไม่ใช่ย้ายทั้งๆที่ไม่ได้ถูกยุบ
อีกอย่างหนึ่ง พรรคเพื่อไทยได้ผ่านการต่อสู้มาระยะหนึ่งจนได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่ถือธงประชาธิปไตย ถึงแม้จะถูกอนาคตใหม่ชิงธงไป แต่ก็ยังเป็นกำลังสำคัญอยู่
การไปใช้พรรคอื่นแทน คะแนนก็อาจจะไม่ตามไป จะเทียบกับพรรคเพื่อธรรมหรือไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อไทยก็เป็นที่รู้จักมากกว่ามีฐานเสียงมากกว่า แล้วทำไมจะทิ้งไปให้เสียเปล่า
ส่วนพรรคไทยรักษาชาติ สภากาแฟยังวิเคราะห์ไม่ออกว่าจะหาเสียงยังไง ถ้าไม่มีแกนนำเพื่อไทยไปอยู่ด้วยเป็นกอบเป็นกำ
จะเนรมิตรความเป็นสาขาเพื่อไทยในพริบตาได้อย่างไร ยิ่งถ้าเอาพวกที่เตรียมสอบตกไปรวมอยู่ด้วยกัน แกนนำก็ไม่มี จะสั่งให้นักการเมืองไปอยู่ด้วยง่ายๆอย่างนั้นเชียวหรือ
สุดท้ายอาจจะกลายเป็นตกน้ำป๋อมแป๋มไปเสียเปล่าๆ
ขณะที่แกนนำของพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมาก มีแต่ข่าวมาจากต่างแดน จนพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ พี่ใหญ่คสช. เริ่มเดือด ส่งสัญญาณให้กกต.สอบแล้ว
เรื่องทั้งหมดนี้ดูเผินอาจเห็นว่าเป็นเรื่องความเข้าใจที่ต่างกันเกี่ยวกับคณิตศาสตร์การเมืองแบบมีชัย กับความเป็นอัจฉริยะของเซียนการเมือง ที่รู้เท่าทันคณิตศาสตร์ที่ยอกย้อนซ่อนเงื่อน พอที่จะคิดเกมมาแก้แบบคมเฉือนคม
กระแสเสียงจากในพรรคส่งสัญญาณสะกิดมาว่า แต่ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการเมืองที่ต้องการความมีหลักการ ตรงไปตรงมาอยู่ด้วย
การเล่นแร่แปรธาตุจนคนตามไม่ทัน อาจจะมีผลในมุมกลับทำให้คนขาดความเห็นใจหรือเชื่อมั่นศรัทธาไปก็ได้
