ผู้เขียน | นวลนิตย์ บัวด้วง |
---|
วนกลับมาอีกครั้ง ที่ประชาชนร้องขอให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายและค่ายาที่โรงพยาบาลเอกชนเก็บกับผู้เข้ารักษาตัว
ในการร้องทุกข์ ระบุเหมือนๆกันว่า อยากให้ทางการออกมาตรวจสอบว่าเพราะเหตุใดช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราการปรับเพิ่มของค่ารักษาและค่าใช้จ่ายตามโรงพยาบาลเอกชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 30-40% ซึ่งอัตราเดียวกันนี้ในอดีตต้องใช้เวลาเกิน 5 ปี และตรวจสอบว่าเป็นราคาที่แพงเกินจริงหรือไม่
ยังไม่รวมร้องทุกข์ถึงปัญหาการเข้าถึงยาเฉพาะโรคของประชาชนยากขึ้นจากราคาที่แพงสุดๆ หรือ ต้องวางเงินล่วงหน้าก่อนรักษาในอัตราที่สูง กลายเป็นปัญหากดดันผู้ป่วยฉุกเฉิน เป็นต้น
ที่ผ่านมาเรื่องนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ก็จะนัดหารือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวเป็นรอบๆไป
ครั้งนี้ก็เช่นกัน การประชุมครั้งล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ผลหารือได้ข้อสรุปว่าจะการผลักดันให้โรงพยาบาลเอกชนที่มีกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ นำค่ายา ค่ารักษาพยาบาลเผยแพร่บนเว็บไซต์ของโรงพยาบาลเอกชน พร้อมขอให้แปลงรายชื่อยาและค่ารักษาพยาบาลเป็นภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
กำหนดอยากให้มีการบังคับใช้จริงเดือนเมษายน 2562
หากย้อนกลับไปดูวิธีการแก้ปัญหาค่ารักษาและค่ายาของโรงพยาบาลเอกชนเมื่อถูกร้องให้ตรวจว่าสูงเกินจริง ดูเหมือนไม่ได้แตกต่างจากเดิม ทางการมักหยิบ”มาตรการทางสังคม”ออกมาใช้เป็นบทลงโทษ นั่นคือ ให้ติดป้ายแสดงราคาค่ารักษา ค่าใช้จ่าย และค่ายา ให้ชัดเจน ทางการระบุว่าเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนได้ตัดสินใจก่อนเข้ารักษา
ส่วนบทลงโทษโรงพยาบาล คือ เผยแพร่ให้สังคมรู้ว่าโรงพยาบาลนั่นๆที่เก็บค่ารักษาค่ายาแพงเว่อร์
หวังใช้สังคมกลั่นกรองและลงโทษกันเอง เพราะเมื่อสังคมรู้ก็จะไม่เลือกเข้าใช้บริการ เท่านั้นเอง!!!
เรื่องนี้ได้รายงานเข้าหู”สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลับมองว่าแค่เผยแพร่ อาจไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาอะไรๆก็แพง ในยุคสมัยนี้
เชื่อว่าคงมีคนป่วยไม่กี่คน ที่จะเปิดเว็บเทียบเปรียบก่อนเข้ารักษา เหมือซื้อของออนไลน์
จึงสั่งการให้นัดประชุม 3 ฝ่าย ให้ครบทั้งภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมโรงพยาบาล ตัวแทนโรงพยาบาล ภาคสังคมตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ และภาครัฐทั้งหน่วยงานจากกระทรวงสาธารสุข และกระทรวงพาณิชย์ หาทางออกที่ยั่งยืน ให้ประชาชนคลายข้อสงสัยว่า”แพงเว่อร์”นั้นมาจากอะไร และเกินจริงหรือไม่
ในวงการค่อนข้างแปลกใจ เพราะเป็นครั้งแรก ที่ระดับรัฐมนตรีหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือและลงไปแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ผลเป็นอย่างไร หาคำตอบได้ในวันพุธที่ 26 ธันวาคมนี้