| ผู้เขียน | นายอุตสาหะ |
|---|
“วัดพลัง”ตัวเลขแต่ละพรรค ตั้งเป้าลุ้น ส.ส.เข้าสภา
วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นวันโหมโรงการเลือกตั้ง ส.ส.ไปอีกขั้น เป็นวันแรกที่เปิดให้มีการรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งประเทศ กกต.กำหนดให้แต่ละพรรคส่งผู้สมัครเข้าประกวดกันจนถึง 8 ก.พ. และยังเป็นวันสุดท้ายของทุกพรรคที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.จะต้องส่งบัญชีรายชื่อบุคคลที่เสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่เกิน 3 ชื่อ
กำหนดวันเลือกตั้งที่ปักธงแล้วคือ 24 มีนาคม 62
ที่ผ่านมาแต่ละพรรคการเมืองต่างคลุกฝุ่นการจัดสรรผู้สมัครให้ลงตัวที่สุด มีข่าวออกมามากมายทั้งดูดแกมขู่บ้าง ดูดให้ผลประโยชน์บ้าง หรือผลประโยชน์จากต้นสังกัดเดิมไม่ลงตัวก็ย้ายหนีไปหารังใหม่กัน หรือแยกย้ายกันตั้งพรรคเครือข่ายบ้าง ขณะที่มีผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดลงเวทีการเมือง เป็นการผลัดใบไปในตัว
นอกจากข่าวคราวมากมาย ยังมีการวัดพลังวัดใจกันมากมายของเหล่ากุนซือพรรคทั้งหลาย การบลั๊ฟหั่นแหลกเกิดขึ้นทุกจังหวะ
โดยเฉพาะการประเมินบ้าง โวบ้าง ลุ้นบ้าง ว่าจะได้ ส.ส.เข้าสภากันเท่าไหร่
พรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร. จากอดีตกลุ่มสามมิตรส่งเกี้ยวเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นแคนดิเดตชิงนายกฯของพรรค ประเมินว่า “หากเดินตามรอยฝันของตัวเองน่าจะกวาด ส.ส.ได้ 150 ที่นั่ง จากโควต้า ส.ส.แบ่งเขต 350 ที่นั่ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 150 ที่นั่ง”
ย้อนไปเมื่อ 18 พ.ย. 61 วันเปิดตัวสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่โรงแรมแชงกรี-ลา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคประกาศก้องว่า “การเปิดตัวแนวร่วมพรรคครั้งนี้ ยิ่งใหญ่กว่าการเปิดพรรคไทยรักไทยที่เคยอยู่ด้วยซ้ำ เพราะทุกคนที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกมีคุณภาพคับแก้ว ต่อไปนี้จะเป็นขั้นที่ 2 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เกิน 150 คนแน่นอน ส่วนขั้นที่ 3 คือเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล”
กลุ่มก้อนดังกล่าว เชื่อว่ามาจาก ส.ส.อีสานประมาณ 50-60 ที่นั่ง และภาคกลางประมาณ 40 ที่นั่ง ส่วนที่เหลือต้องลุ้นเอาเพราะภาคเหนือกับภาคใต้ส่วนใหญ่คนเลือกมีพรรคในดวงใจกันแล้ว
มาดูพรรคเพื่อไทยกันบ้าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการรณรงค์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ฟันธงว่า “พรรคพลังประชารัฐไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง แม้มี ส.ว. 250 เสียง ได้ตั้งรัฐบาลแต่ก็อยู่บริหารไม่ได้”
เมื่ออ้างทักษิณโพลที่เคยออกมาเมื่อ 12 พ.ย.ปีที่แล้ว โดยทักษิณ ชินวัตร จ้างโพลของอเมริกาช่วยทำให้ ระบุว่า “หากเพื่อไทยพร้อมเครือข่ายน่าจะกวาด ส.ส.รวมถึง 290 ที่นั่ง และเป็นสำนักโพลที่ทักษิณเคยใช้บริการมาแล้วเมื่อคราวเลือกตั้งปี 2551 กับ 2554 มีความแม่นยำสูง บวก-ลบ ไม่เกิน 10 ที่นั่ง”
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคบอกแล้วว่า หากพรรคได้ ส.ส.ต่ำกว่าร้อย จะเปิดหมวกลาหัวหน้าพรรคทันที ถือว่าทำให้พรรคถดถอยต้องรับผิดชอบ ส่วนจะมุ่งว่าได้ ส.ส.เท่าไหร่นั้น นายอภิสิทธิ์ขอไม่ฟันธงใดๆ แต่ถ้ายึดตามตัวเลขเดิมที่พรรคเคยได้ 160 ที่นั่ง นำคะแนนดิบที่เคยได้ 9.8 ล้านเสียง เป็นฐานคำนวณตามระบบสัดส่วนปันส่วนผสม จะออกมาที่ 140 ที่นั่ง
แต่ก็มั่นใจลึกๆ ว่า “เราไม่มีต่ำกว่าร้อยแน่นอน หน่วยงานไหนที่มาปรามาสว่า ปชป.จะต่ำร้อย ให้ไปดูแลพรรคที่อิงกับผู้มีอำนาจจะดีกว่าว่าจะทำให้ถึง 100 ที่นั่งได้หรือเปล่า”
ทางสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ลงทุนเดินคารวะแผ่นดิน ให้คนชอบได้เชียร์ ให้คนเกลียดได้โห่ใส่ ก็ยืนยันถึงเสียงตอบรับที่ดีเป็นส่วนใหญ่ มั่นใจว่าจะมี ส.ส.เข้าสภาไม่ต่ำกว่า 60 ที่นั่ง
ขณะที่พรรคพลังท้องถิ่นไท ของ “ชัช เตาปูน” เคยบอกนักข่าวสมัยเปิดพรรคใหม่ว่า “เตรียมส่งผู้สมัครลงทั้งสิ้น 350 เขต และปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน คาดว่าเราจะได้รับเลือกไม่น้อยกว่า 20 ที่นั่ง โดยหมายมั่นว่าเขตบางซื่อจะได้รับเลือกตั้งอย่างแน่นอน ขณะที่อีสานและใต้นั้นจะขอเบียดมาได้อย่างน้อยอีก 7 ที่นั่ง”
พรรคประชาชาติที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นหัวหน้าพรรคมุ่งนโยบายที่โดดเด่น เรื่องสังคมพหุวัฒนธรรม ตั้งเป้าว่า “จะได้รับเลือกตั้ง ส.ส.ในภาคใต้ไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง และตั้งเป้ารวมทั้งประเทศไม่น้อยกว่า 20 ที่นั่ง เน้นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล”
ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคบอกนักข่าวล่าสุดว่า “ยิ่งลงพื้นที่ต่อเนื่อง มั่นใจว่า ยิ่งเข้าใกล้การเลือกตั้ง ประชาชนยิ่งให้การสนับสนุนพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มั่นใจว่าพรรคจะได้ ส.ส.เข้าสู่สภาเกิน 70 เสียง”
มาถึงคิวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันหนักแน่นจะส่งผู้สมัครครบ 350 เขต มีความเชื่อว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่ขอประเมินว่าจะได้จำนวน ส.ส.เท่าไหร่ เพราะไม่ต้องการตีกรอบให้ประชาชน และจะไม่ส่งคนที่ไปเก็บกวาดคะแนน หยิบเล็กหยิบน้อยมาแล้วให้มีจำนวนมา เพื่อที่จะมาอ้างว่าเอามาคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เราจะไม่หลอกประชาชน
ถึงขั้นมีคำคมออกมาด้วยว่า เลือกตั้งครั้งนี้ “พรรคภูมิใจไทยมีแต่เจ๊ากับเจี๊ยะ”
