ผู้เขียน | ทรงพร ศรีสุวรรณ |
---|
การเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ถ้ายังไม่มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม
ช่วงก่อนการโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่า พรรคพลังประชารัฐจะเพลี่ยงพล้ำในเกมต่อรองให้กับพรรคประชาธิปัตย์
โดยเสียเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ “สุชาติ ตันเจริญ” ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ประกาศจองเก้าอี้ไว้แล้ว
เป็นการเสียให้ฟรีๆ ไม่เกี่ยวกับโควต้าการตอบรับเข้าร่วมรัฐบาล
แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี การเมืองที่เกี่ยวกับการต่อรองก็กระเพื่อมอีกครั้ง
มองกันว่า ครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พลิกกลับมาถือแต้มต่อ
จึงมีการเดินเกมและเสียงเรียกร้องจากคนในพรรคพลังประชารัฐ ให้มีการเจรจาเก้าอี้รัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลกันใหม่อีกรอบ
ยกเหตุผลว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จึงต้องดูแลกระทรวงสำคัญๆ เพื่อสานงานต่อและขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน
มองอีกมุมคือ การเอาคืนกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า “เก้าอี้ประธานสภา” ไม่ใช่โควต้า ดังนั้น “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ก็ไม่ใช่โควต้าเช่นกัน
การเรียกร้องให้เกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีกันใหม่ ยังแสดงให้เห็นว่า พรรคพลังประชารัฐจะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง
โดยพรรคพลังประชารัฐ จะมอบอำนาจสิทธิขาดให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมทั้งหมด
ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเจรจาต่อรองกันอีกรอบ แม้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยืนยันว่า ได้ข้อยุติแล้วก็ตาม
หากมีเจรจากันใหม่เกิดขึ้นจริง พรรคประชาธิปัตย์อาจจะต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม
คำขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่า อาจจะพิจารณาถอนตัว หากเกิดการเบี้ยวข้อตกลงนั้น ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐหวาดกลัวแต่อย่างใด
พรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก ที่อยู่ในภาวะตกที่นั่งลำบาก เพราะหากถอนตัวจากการเข้าร่วมรัฐบาล จะยิ่งทำพรรคประชาธิปัตย์เสียหายเพิ่มขึ้นไปอีก
จะถูกครหาเรื่องไม่มีจุดยืน ชักเข้าชักออก และร่วมรัฐบาลเพราะผลประโยชน์มากกว่า
มีแต่ต้องยอมรับข้อเสนอ เหมือนผีถึงป่าช้า