นิวส์รูมวิเคราะห์ : ‘ไวรัส-เซเปียนส์’…’โควิด-19’ มาจากไหน?

การแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เริ่มจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนจะกระจายไปทั่วโลก แม้กระทั่งคู่กัดอย่างสหรัฐ ที่เปิดศึกสงครามการค้ากันก่อนหน้านี้ ก็ไม่รอด จน“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั้ง 50 รัฐ
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เพิ่งจะออกแถลงการณ์เมื่อ 11 มีนาคม 2563 ว่า โรคโควิด-19 เข้าสู่ภาวะแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว
ถนนข่าวสารมุ่งไปที่เรื่อง “โควิด-19” ยิ่งในยุคดิจิทัล ทำให้ข้อมูลท่วมท้นล้นทะลัก จนเกิดโรคคู่ขนานกับ “โควิด-19” หลายโรค ทั้ง “โฟโม่” (FOMO : Fear Of Missing Out) หรือ โรคกลัวตกกระแส หากไม่ได้อัพเดทผ่านโลกออนไลน์ จะอารมณ์แปรปรวน รวมทั้งโรควิตกกังวล และโรคแพนิค ที่มีอาการตื่นตระหนก วิตกจริต
ณ วันที่ 22 มีนาคม ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ “โควิด-19” กว่า 3 แสนราย รักษาหาย 9.4 หมื่นราย และเสียชีวิตกว่า 1.3 หมื่นราย
ขณะที่ผู้คนทั่วโลกยังตื่นตระหนกกับ “โควิด-19” แต่มีมุมมองจาก “ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” นักประวัติศาสตร์ชาวยิว ผู้เขียนหนังสือ “เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ” ตามด้วย “โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้” และ “21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21″ ที่อาจช่วยลดอาการโรคคู่ขนานกับ”โควิด-19″ ได้บ้าง (หรืออาจจะหวาดวิตกกว่าเดิม)
“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” เห็นว่าอุบัติการณ์รุนแรงในอดีตที่คร่าชีวิตเซเปียนส์จำนวนมากจะมีอยู่ 3 เรื่องหลักคือ ความอดอยาก สงคราม และโรคระบาด
สำหรับอุบัติการณ์โรคระบาดนั้นในหนังสือ “โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้” ที่เขียนเมื่อปี ค.ศ.2016 ให้มุมมองและข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำบางส่วนมาบอกเล่าสู่กันฟัง
“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” ย้อนข้อมูลความรุนแรงและความสูญเสียจากโรคระบาดของเซเปียนส์ในอดีต อาทิ “กาฬโรค” หรือแบล็กเดธ (Black Death) ที่เริ่มในราวทศวรรษ 1330 ต้นตอจากเอเชียตะวันออกหรือเอเชียกลาง ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก มีผู้เสียชีวิต 75-200 ล้านคน
มกราคม ค.ศ.1918 ทหารในสนามเพลาะ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เริ่มล้มตายจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่รุนแรงมีชื่อว่า “ไข้หวัดใหญ่สเปน” เพียงไม่กี่เดือน มีผู้คนราว 500 ล้านคนหรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในขณะนั้นติดเชื้อดังกล่าว คร่าชีวิตผู้คนไป 50-100 ล้านคนในเวลาไม่ถึงปี
ช่วงทศวรรษที่ 1980 มีคนกว่า 30 ล้านคนตายจากโรคเอดส์ และอีกหลายสิบล้านคนทนทุกข์ทรมาน
ปี ค.ศ.2002 โรคซาร์สระบาด ซึ่งในตอนแรก ก็วิตกกันว่าจะเป็นแบล็กเดธยุคใหม่ แต่สุดท้ายมีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 1,000 คน
ปี ค.ศ.2014 “อีโบลา” แพร่ระบาด แต่ต้นปี ค.ศ.2015 ก็ควบคุมโรคนี้ได้ และในปีค.ศ.2016 องค์การอนามัยโลกประกาศว่าหยุดการระบาดแล้ว มีคนติดเชื้อไป 30,000 คน ตายไป 11,000 คน
“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” ระบุว่าโรคระบาดใหญ่ต่างๆ ในช่วงหลังมีเหยื่อผู้เคราะร้ายลดลง ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของมนุษยชาติ ที่เชื่อว่าการงัดข้อระหว่างแพทย์กับเชื้อโรคนั้น แพทย์ทำได้ดีกว่า
แม้โรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆ เป็นผลจากการกลายพันธุ์ในจีโนมของเชื้อโรค ที่ช่วยเอาชนะระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้ หรือช่วยต้านทานยาปฏิชีวนะได้
แต่เชื้อโรคก็ยังอาศัยการช่วยเหลือจากเงื้อมมือแห่งโชคที่สะเปะสะปะ ขณะที่แพทย์ไม่ได้พึ่งแค่โชคชะตา แต่รวบรวมความรู้ที่ผ่านมามากขึ้นเรื่อยๆ และรับมือกับเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ต่างๆ ได้ดีกว่าในอดีต
ในหนังสือระบุว่า “แม้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีการระบาดของสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักแผ่กระจายข้ามโลกและฆ่าคนเป็นล้านๆ คนอีกหรือไม่ ก็ไม่ถือว่าเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่น่าจะเป็นความล้มเหลวของมนุษย์มากกว่า”
มีการยกตัวอย่าง โรคอีโบลา ที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและพบว่าการระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นมาจากการคอร์รัปชั่นและความไร้ประสิทธิภาพขององค์การอนามัยโลกสาขาแอฟริกา ขณะที่ประเทศต่างๆ ไม่ตอบสนองอย่างรวดเร็วพอ และมีมาตรการบังคับใช้ไม่ดีพอ
ทั้งที่ มนุษยชาติมีความรู้ พร้อมเครื่องไม้ เครื่องมือที่ใช้ป้องกันได้ แต่ยังเกิดโรดระบาดขึ้น ก็น่าจะเป็นผลมาจากความไร้ความสามารถของมนุษย์มากกว่า
นั่นอาจทำให้เบาใจได้บางส่วนว่าการแพทย์ในยุคปัจจุบันจะรับมือได้ดีกว่าอดีต และที่เกิดการระบาดใหญ่นั้นน่าจะมาจากความล้มเหลวในการป้องกันของมนุษย์เอง
อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ก็เป็นดาบสองคม
“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” ระบุว่า “การดิ้นรนต่อสู้กับหายนะจากธรรมชาติ เช่น เอดส์และอิโบลานั้น มนุษย์ยังรับมือกับระดับความรุนแรงได้อยู่” พร้อมตั้งคำถามว่า “แต่หากเป็นอันตรายที่ฝังลึกอยู่ในตัวมนุษย์เองตามธรรมชาติเล่า?”
“เทคโนโลยีชีวภาพ ทำให้เราชนะแบคทีเรียและไวรัสได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ไม่คาดฝันกับตัวมนุษย์เองด้วย”
“วิธีการแบบเดียวกันกับที่ทำให้แพทย์จำแนกและรักษาโรคใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ก็อาจทำให้ “กองทัพ” และ “ผู้ก่อการร้าย” สามารถทำวิศวกรรมตัดต่อให้เกิดโรคร้ายที่น่ากลัวมากขึ้นไปอีก แม้แต่สร้างเชื้อโรคที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก”
ดังนั้น หากจะมีโรคระบาดใหญ่สำคัญที่ยังคงทำอันตรายมนุษยชาติในอนาคตต่อไปอีกได้ ก็น่าจะเป็นพวกที่มนุษย์เองสร้างขึ้น เพื่อใช้งานตามจุดมุ่งหมายที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณี”
เป็นคำถามและมุมมองที่หวาดหวั่นไม่น้อย
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “โควิด-19” หรือ “ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่” ที่กำลังระบาดในขณะนี้ เป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ หรือเป็นฝีมือของ “เซเปียนส์” กันแน่

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image