ปฏิบัติจับฟ้าแลบ สู่ “ปฏิวัติสงฆ์”

สะเทือนวงการผ้าเหลืองเมื่อย่ำรุ่งของวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา “พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด” ผู้บังคับการกองปราบปราม นำเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมหมายศาล คดีทุจริตเงินงบประมาณในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือ เงินทอนวัด ไปค้น 3 วัดดังในกรุงเทพฯ คือ วัดสามพระยาวรวิหาร หรือ วัดบางขุนพรหม วัดสัมพันธวงศ์ และ วัดสระเกศ

ผลปรากฏว่าพระเถระและพระผู้ใหญ่ 5 รูปที่ถูกจับกุม  ประกอบด้วย

1.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

2.พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

Advertisement

3.พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศ

4.พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

และ 5.พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา

Advertisement

นอกจากนี้ยังมีฆราวาส คือ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา มารดาของร.ท.ฐิติทัศน์ พิพนธ์พิทยา นายทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย และ น.ส.นุชรา สิทธินอก

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำพระเถระและพระผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูป ไปสอบปากคำที่กองปราบปราม ก่อนจะพาไปฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พร้อมคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงว่าจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ซึ่งศาลฯ ใช้เวลาพิจารณานานหลายชั่วโมงก่อนอนุญาตให้ฝากขัง และไม่ให้ประกันพระทั้ง 5 รูป ทำให้ตามกระบวนการต้องสึกจากความเป็นพระทันที และคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ขณะที่ 2 ฆราวาส คือ น.ส.ฑัมม์พร และ น.ส.นุชรา นั้น ศาลฯ มีความเห็นรับฝากขังและไม่ให้ประกันตัวเช่นกัน และให้คุมตัวเข้าเรือนจำ

สำหรับพระเถระอีก 2 รูป คือ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการ มส. เจ้าคณะภาค 10  และพระพรหมเมธี (จำนง ธัมมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กรรมการ มส. เจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธรรมยุต) หนีการจับกุม

ทั้งนี้ถือเป็นปฏิบัติการสะสางเงินทอนวัดล็อตที่ 3 โดยล็อตแรก เป็นการทุจริตงบอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 12 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2559 ความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 10 ราย มีการนำส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด

ตามมาด้วยตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 2 รวม 14 จุด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ขอนแก่น ระนอง สิงห์บุรี นครปฐม และสมุทรสาคร เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงกระบวนการทุจริตเงินทอนวัด และพบว่าเป็นการทุจริตงบประมาสอุดหนุน 3 ประเภท คือ

1.อุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2.อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท จนมีหลักฐานความผิดถึงตัวผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย แบ่งเป็น ข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) 13 ราย พระผู้ใหญ่ 4 รูป และประชาชน 2 ราย และได้ทำสำนวนส่งป.ป.ช.ไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา กระทั่งนำมาสู่การนำหมายศาลมาค้น 3 วัดดังกล่าวซึ่งถือเป็นการปฏิบัติการในล็อตที่ 3

นอกจากนี้ในวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. ยังนำกำลังคอมมานโด จับกุม “พระพุทธะอิสระ” หรือ พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ” ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ตามหมายจับคดีกรรโชกทรัพย์ โดยพระพุทธะอิสระ ถูกตั้งข้อหาคดีอั้งยี่ซ่องโจรที่การ์ดกปปส. ร่วมทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นายบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส คดีปลอมพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ลงองค์พระเครื่องนาคปรกอุดปรอท และศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พร้อมกันนั้นนิมนต์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่มาทำการสึกจากความเป็นพระก่อนนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ถือเป็นปฏิบัติการสายฟ้าแลบ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกินวงกว้างซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้กลุ่มที่เคยออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการปฏิรูปวงการสงฆ์ ถือโอกาสหยิบยกขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวให้เกิดการปฏิวัติวงการสงฆ์ทั้งระบบอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image