⦁….ด้วยจัดการทุกวิธีจนมั่นใจเต็มร้อยแล้วว่ารัฐประหารมา 5 ปี “ไม่เสียของ” อย่างไรเสียก็จัดตั้ง “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีสืบเนื่องต่อไปได้ แต่ “พลังประชารัฐ” น่าจะเหนื่อยไม่น้อยกับการบริหารให้เป็นไปตามเป้า แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “พลังประชารัฐ” จะมั่นใจเต็มร้อย ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม แต่จนนาทีนี้ คำยืนยันหนักแน่นว่าไม่เป็นอื่น ยังไม่ได้จากปากของ “อนุทิน ชาญวีรกูล-กัญจนา ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ทุกอย่างจึงยังเดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่เป็น
⦁….สูตรแบ่ง “ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์” ซึ่งในที่สุดเป็นไปตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าเป็นการผสานพลังให้ “พรรคพลังประชารัฐ” เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ด้วยการให้พรรคจิ๋วๆ ที่ได้แค่ 30,000 กว่าคะแนน ได้พรรคละ 1 เก้าอี้ แล้วให้รวมตัวกันประกาศเทเสียงให้มากพอส่ง “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ทุกคนรู้เท่าทันอำนาจ ที่ “เสียงประชาชน” ถูกมองข้ามอย่างไร้ค่า แต่ “ได้แค่ยอมจำนน” ทำอะไรไม่ได้ หนำซ้ำ “นักการเมือง” ในสถานะ “ผู้แทนประชาชน” จำนวนหนึ่ง เพื่อให้ตัวได้มีอำนาจกำหนดผลประโยชน์ เดินหน้าสู่เป้าหมาย โดย “ไม่คิดสิ่งอื่น”
⦁….การเน้น “พรรคพวก-คนที่ควบคุมได้-ตอบแทนทุน” สะท้อนในรายชื่อ “250 ส.ว.” ชัดเจนว่าไม่แคร์เสียงท้วงติง ว่าคือการ “สถาปนาระบบอภิสิทธิ์ชน” หาก “ไม่เสียของ” นี้ยืนยาวต่อไป หลังพิสูจน์แล้วไม่มีใครทำอะไรได้มา 5 ปีเต็ม ซ้ำยัง “สืบต่อ” ได้แบบ “ยาวไป ยาวไปพี่” นั่นหมายถึง “วัฒนธรรมการเมืองไทย” จะพัฒนาสู่อีกแนวทาง เป็น “ระบบสอพลอผู้มีอำนาจ” และอาจจะเติบโตมากกว่า “ระบบผู้แทน” ที่ต้องยึดโยงประชาชน
⦁….อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนของ “ระบบสืบทอดอำนาจ โดยไม่ให้ราคากับเสียงประชาชน” ดูจะเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ ที่ถึงอย่างไรก็สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้กับ “นักการเมือง” ที่เคยชินกับการอาศัยอำนาจประชาชนอยู่ไม่น้อย ด้วยหนทางที่เข้ามาแตกต่าง และดูไม่ถนัด “ระบบสอพลอ” เหมือน “นักการเมืองที่รอวาสนาจากการแต่งตั้ง” ย่อมล้มเหลวเสมอ เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง พวกหนึ่ง “หาเสียง” เก่ง แต่ “สอพลอ” ไม่เป็น ขณะอีกพวกหนึ่งเชี่ยวชาญ “สอพลอ” แต่ไม่มีปัญญา “หาเสียง”
⦁….เมื่อเสียงของ “ประชาชน” ให้บทเรียนกับ “ผู้ทรยศ” ถูกทำให้เป็น กระแสด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ ที่แรงกระตุ้นสร้างอารมณ์ร่วมได้สูง และเข้าถึงวงกว้างได้รวดเร็ว “นักหาเสียงเลือกตั้ง” แม้ลึกๆ จะหมิ่นแคลนประชาชนที่เลือกตัวเองเข้ามาด้วยผลประโยชน์แลกเปลี่ยน “คะแนน” เป็นสินค้า “ซื้อ-ขาย” แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สะท้อนว่า “การหาเสียงเชิงอุดมการณ์” ประสบความสำเร็จสูงยิ่ง ทำให้ทุกคนต้องทบทวน ชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกอยู่ด้วยความเป็น “นักซื้อ” ต่อไปได้หรือไม่
⦁….การเมืองเคลื่อนไป ตามแรงดิ้นรนหาโอกาสที่เหนือกว่าของแต่ละคน แต่ละฝ่าย สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ผู้นับวันได้แต่เฝ้ามองโอกาสของตัวเองในเวทีนี้ถูกทับถมด้วยอุปสรรคมากขึ้น ดูจะหันไปเล่นกับเกมธุรกิจมากขึ้น ล่าสุดทุ่มซื้อ “คริสตัล พาเลซ” ทีมฟุตบอลในอังกฤษ แล้ววางตัว “เดอะฮั่น มิตติ” ลูกชาย ยงยุทธ ติยะไพรัช เข้าบริหาร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่