⦁….ไม่มีอะไรผิดไปจากการคาดเดา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสภาพ ส.ส.ไปเรียบร้อย ด้วยเหตุผลของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก่อนเข้าฟังคำตัดสินชะตากรรม “ธนาธร” บอกกับประชาชนที่มาให้กำลังใจว่า “พรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง” นับจากนี้จะเดินทางอย่างไร ไม่เพียงคนไทยทั้งประเทศอยากรู้เท่านั้น แต่ “ผู้สนใจการเมืองทั่วโลก” ย่อมจับตาว่า “พรรคอนาคตใหม่จะเดินไปได้ถึงไหน”
⦁….เป็นธรรมดาของคนที่มอง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น “ความหวัง” ในเชิง “คุณภาพใหม่ทางการเมือง” ย่อมต้องเกิดความรู้สึก “พูดไม่ออก บอกไม่ถูก” แต่ที่สุดแล้วก็อย่างที่บอก เป็น “ผลการตัดสินที่ไม่เกินจากที่ทุกฝ่ายคาดเดา” ดังนั้น ก็เหมือน “เตรียมใจไว้แล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ว่า “บางความหวังก็เป็นได้แค่ความหวัง ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นจริงเสมอไป”
⦁….สรุปที่ “ผมจะเดินหน้าต่อในสิ่งที่ฝัน จะใช้เวลาทำงานร่วมกับประชาชน” คือคำที่ “ธนาธร” ยืนกรานหลังรับฟังคำตัดสิน ชะตากรรมต่อไปจะเป็นอย่างไร “คดีอาญา” ที่เริ่มหยิบยกขึ้นมา เพื่อชี้ทางให้หาทางตัดสิทธิทางการเมือง และลงโทษรุนแรง จะเกิดขึ้นหรือไม่ กับ “อยู่ไม่เป็น” มีแค่ต้องติดตาม
⦁….การเมืองยุคอ่านไม่ยาก “ที่ ส.ป.ก. 1,700 ไร่” ของ ปารีณา ไกรคุปต์ น่าจะเป็นเรื่องต่อไปที่ผู้คนประเทศนี้สามารถคาดเดาได้ว่า “ข้อสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร” เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ หลายเรื่องที่ผ่านมา อันล้วนแล้วแต่ “รู้ได้” โดยไม่ต้องอาศัย “ความรู้อะไรมากมาย” แค่นึกให้ออกว่า ใคร “อยู่เป็น” ใคร “อยู่ไม่เป็น”
⦁….แม้จะอ้อมแอ้มในมุมที่ว่า “เศรษฐกิจบ้านเราไม่ถึงกับย่ำแย่ เมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก” แต่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ย่อมรู้ดีว่า ที่จะให้คนอื่นคิดเหมือนกับที่บอกนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ง่ายๆ ด้วยแต่เอา “การเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน” มาเปรียบเทียบ สถานะของประเทศไทยในอนาคต ย่อมชัดในความรู้สึกนึกคิดว่า “เพื่อนบ้านประเทศไทยจะค่อยๆ แซงหน้า” ไปบ้าง
⦁….ข้อมูลจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง ว่า “โรงงาน 1,000 แห่ง เลิกจ้างแรงงาน” โดยสั่งการให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบไปดูแล แม้ยังไม่มีรูปธรรมว่าดูแลแบบไหน ก็คือว่า “ยังดีที่ยอมรับและห่วงใย” เพียงที่คุยว่า “มีโรงงานขอตั้งใหม่ 3,000 กว่าแห่ง” นั้น ดูจะต้องอธิบายด้วยว่า “ประเทศไทยได้อะไรกับโรงงานที่ได้รับการเอื้อสิทธิประโยชน์เหล่านี้บ้าง”
⦁….บทบาทหลักของ “สภาผู้แทนราษฎร” คือกลไกตรวจสอบการทำงาน และถ่วงดุลอำนาจรัฐบาล “ทุจริตประพฤติมิชอบ” เป็น “ปัญหาเรื้อรังของประเทศ” แต่ละปีต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อ “รณรงค์ป้องกัน” และหาทางปราบปราม “คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.” ควรจะโดดเด่นในการทำหน้าที่นี้โดยทุกฝ่ายให้ความร่วมมือสนับสนุนด้วยพร้อมใจ ทว่ากลับกลายเป็นชุดที่ “พรรคการเมืองบางพรรค” ตั้งคนเข้ามาเล่นบท “ป่วน” น่าสนใจยิ่งว่า ในความเป็นผู้อาวุโส ที่วางตัวไว้ว่าคือผู้ยึดมั่นหลักการที่ควรจะเป็น ชวน หลีกภัย ในฐานะ “ประธานสภา” จะวางท่าทีที่คิดว่าเหมาะสมกับเรื่องนี้แบบไหน
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่