ผู้เขียน | ชโลทร |
---|
⦁…หลัง “รัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร” คิดเองเออเอง ฟังข้อมูลที่สร้างขึ้นด้วยความคิด “อยากเอาอกเอาใจ” ให้ “เจ้านาย” รู้สึกดีว่า “ทำงานประสบความสำเร็จ” ประชาชนได้แต่อ้าปากค้างกับความรู้สึกนึกคิดของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ห่างไกลจากชะตากรรมในชีวิตจริง มาเกือบ 5 ปี การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น แม้หวังอะไรไม่ได้นัก เนื่องด้วย “กติกาดีไซน์ขึ้นเพื่อสานต่ออำนาจอย่างราบรื่น” แต่อย่างน้อย การลงพื้นที่ “หาเสียง” ทำให้ “ชาวบ้าน” ได้ระบายถึงความทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่เพ้อเจ้อเอาจาก “ข้อมูลบิดเบี้ยว” เหมือนที่เคยเป็นมา
⦁…ที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สื่อให้ฟังถึงเสียงประชาชนที่ได้ไปพบปะมา ไม่ว่าจะเป็น “ราคาพืชผล-หนี้นอกระบบ” หรืออะไรต่อมิอะไรอีกหลายเรื่องที่เป็น “ทุกข์ของประชาชน” ซึ่งไม่มีจากรายงานของ “กลไกราชการ” แม้แต่ “นักการเมืองจากซีกสนับสนุนสืบทอดอำนาจ” ก็ได้ฟังว่าไม่ต่าง เพียงแต่เลือกพูดไปอีกอย่างในทางที่ “ปกป้องความล้มเหลว” ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อ “คะแนนนิยม” และนั่นย่อมหมายความว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นผลดี” ด้วยไม่ว่าฝ่ายไหนก็ได้รับรู้ความเป็นจริงแล้วว่า “ชีวิตประชาชนเป็นอย่างไร”
⦁…การหาเสียงเริ่มถึงจุดแตกหัก เมื่อต่างฝ่ายต่างประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “จัดตั้งรัฐบาล” ขณะที่ “ฝ่ายสานต่ออำนาจ” ไม่มีปัญหาเรื่อง “เสียงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” เพราะมี “250 ส.ว.” มัดมือมัดเท้าคู่ต่อสู้ให้ “ต่อยเตะข้างเดียว” อยู่แล้ว แต่น่าจะเพราะ “เกิดเหนียมอาย” หรือไม่ก็ “อยากให้มั่นใจว่าอยู่ยาวได้” จึงพยายามเต็มที่จะให้ได้ “สภาล่างที่มาจากการเลือกตั้งเกินครึ่ง” ยิ่งใกล้โค้งสุดท้าย เริ่มเห็น “จุดแข็ง-จุดอ่อนของกันและกัน” การกำหนดยุทธศาสตร์ “ตรงเป้า” มากขึ้น ทำให้ “การตั้งรับและตอบโต้” จึงเป็นไปอย่างเข้มข้น
⦁…เมื่อประเมินแนวร่วมไปในทางเดียวกัน ว่าที่สุดแล้ว ฝ่ายหนึ่งก็คือ “ชุดเดิมที่เคยจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารมาแล้ว” อันประกอบด้วย “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์ และเครือข่ายบูรพาพยัคฆ์” โดยอีกฝ่ายหนึ่งเป็น “แนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ” ต่างฝ่ายต่างหาทางที่จะ “ลดพลังของกันและกัน” ฝ่ายแรกถูกยั่วยุหนักให้ส่ง “แม่ทัพตัวเอง” ออกมา “ดีเบต” เปรียบเทียบวิสัยทัศน์ว่าที่นายกฯ หวังใช้หลักการประชาธิปไตยเป็นอาวุธ “บี้ให้ไปไม่เป็น” ขณะที่อีกฝ่ายใช้ “ขบวนการทำลายแนวร่วม” เปิดเกมถล่มแหลกด้วย “แบบไม่เลือกวิธีการ” จนที่สุดแล้วทำให้ภาพของการหาเสียงเลือกตั้ง เป็น “ความเลวร้ายของการเมือง” ขึ้นมาอีกครั้ง
⦁…แม้ “ประชาธิปัตย์” จะดูแข็งกร้าว เหมือนจะยืนหยัดอยู่คนละข้างกับ “ฝ่ายสืบสานอำนาจ” ทว่าเป็นท่าทีเฉพาะของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แสดง พร้อมกับประกาศอยู่ทุกเวทีว่า “หากได้ต่ำกว่า 100 จะลาออกจากหัวหน้าพรรค” ความคลางแคลงใจต่อท่าทีแข็งกร้าวของ “อภิสิทธิ์” จึงอยู่ที่เมื่อถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล ก็แค่ “หัวหน้าพรรคลาออกแล้วเลือกใหม่” เงื่อนไขทุกอย่างก็จบ
⦁…ขณะที่อีกฝ่าย “อนาคตใหม่” ที่กระแสตอบรับดีวันดีคืน โดยเฉพาะจาก “คนรุ่นใหม่” ที่เป็นฐานคะแนนอิสระ ยังไม่ยึดโยงกับพรรคการเมืองเก่า และเมื่อ “ตัวสร้างฟีเวอร์” คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป้าหมายของการทำลายจึงพุ่งมาที่นี่ทุกเครือข่ายคู่ต่อสู้ ประสานพลังถล่มแบบ “เอาตาย” เพียงแต่ “ธนาธร” นิ่งมาก เพราะที่ “ความนิยมที่ได้มาเกินคาดหวังอยู่แล้ว” หากจะเสียหายไปบ้าง เพราะ “เกมอำมหิต” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไรมากนัก แต่จะว่าไป “นิ่ง” เพื่อเผชิญ “ความโหด” โอกาสที่ “เกมจะพลิกเพราะความเห็นใจ” ใช่จะไม่มี
⦁…ที่ถูกอำเละ จนน่าสนใจว่า “ไม่ว่าใครที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาจะคุ้มหรือไม่” นาทีนี้สำหรับ “คนที่ต้องการอนาคตที่ปกติ” ย่อมต้องประเมินว่าคุ้มหรือไม่ หากไปเป็น “250 ส.ว.” ด้วยมีการหยิบยกเอาสารพัดฉายามาเหยียดหยาม ที่สุดแล้ว ดูจะเป็นตำแหน่งที่ “อยากจริงๆ” หรือไม่ก็ “ถูกสั่งมาให้รับ”